ใจความสำคัญ
- เราไม่ทราบว่ายาปฏิชีวนะที่รับประทานทางปากหรือฉีด (ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์ทั่วร่างกาย) เป็นยาที่มีประสิทธิผลในการรักษาโรคหูชั้นกลางอักเสบเรื้อรังแบบมีหนอง (CSOM ซึ่งเป็นการติดเชื้อหูในระยะยาว) หรือไม่ และทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์หรือไม่ หลักฐานเกี่ยวกับผลข้างเคียงยังมีจำกัดมาก
- การศึกษาในอนาคตควรมีขนาดใหญ่ขึ้น ใช้วิธีการที่เข้มงวด ครอบคลุมกลุ่มที่มีความเสี่ยงโดยเฉพาะของ CSOM ติดตามผู้เข้าร่วมเป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน และประเมินผลลัพธ์ที่สำคัญต่อผู้ป่วยและผู้ประกอบวิชาชีพด้านการดูแลสุขภาพ
โรคหูชั้นกลางอักเสบเรื้อรังแบบมีหนองคืออะไร
โรคหูชั้นกลางอักเสบเรื้อรังแบบมีหนอง (CSOM) เป็นการอักเสบและการติดเชื้อของหูชั้นกลางที่กินเวลานานเกินสองสัปดาห์ขึ้นไป ผู้ที่เป็น CSOM มักจะมีของเหลวไหลออกมาซ้ำอยู่บ่อยๆหรือต่อเนื่อง ของเหลวที่รั่วออกมาจากรูหรือการฉีกขาดในแก้วหู และสูญเสียการได้ยิน
CSOM ได้รับการรักษาอย่างไร
CSOM สามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ (ยาที่ต่อสู้กับการติดเชื้อแบคทีเรีย) ที่รับประทานทางปากหรือฉีด (นั่นคือการรักษาที่ออกฤทธิทั่วร่างกาย) ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิทั่วร่างกายสามารถใช้ได้:
- อย่างเดียว;
- ร่วมกับยาปฏิชีวนะในรูปแบบ หยอด สเปรย์ ขี้ผึ้ง หรือครีม (เฉพาะที่ เช่น การรักษาเฉพาะที่พื้นผิว) หรือ
- ร่วมกับการรักษาอื่น ๆ เช่นสเตียรอยด์ (ยาต้านการอักเสบ) หรือน้ำยาฆ่าเชื้อ (สารที่หยุดหรือชะลอการเติบโตของจุลินทรีย์)
สิ่งที่เราต้องการทราบคืออะไร
เรามุ่งหวังที่จะค้นหาว่า ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์ทั่วร่างกาย มีประสิทธิผลแค่ไหนในการรักษา CSOM โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราต้องการทราบว่า ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์ทั่วร่างกาย สามารถหยุดการไหลของของเหลวออกจากหูได้ เพิ่มคุณภาพชีวิตที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพหรือส่งผลต่อการได้ยินของผู้ป่วยหรือไม่ นอกจากนี้ เรายังอยากทราบว่า ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์ทั่วร่างกาย ทำให้เกิดอาการปวด ไม่สบาย หรือระคายเคืองในหู มีผลข้างเคียง (เช่น เวียนศีรษะ หรือมีเลือดออกในหู) หรือภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงใดๆ หรือไม่
เราทำอะไรบ้าง
เราค้นหาการศึกษาที่เปรียบเทียบ ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์ทั่วร่างกาย กับการไม่รักษา ยาหลอก (ยาที่ไม่ออกฤทธิ์หรือ "ยาหลอก") หรือยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์ทั่วร่างกายอื่น ในคนทุกวัย เราเปรียบเทียบและสรุปผลการศึกษา และประเมินความเชื่อมั่นของเราต่อหลักฐาน โดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น วิธีการศึกษาและขนาดของการศึกษา
เราพบอะไร
นี่คือการอัปเดตการทบทวนวรรณกรรมที่เผยแพร่ครั้งแรกในปี 2021 เราพบ 21 การศึกษาที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วย CSOM จำนวน 2,525 ราย ผู้เข้าร่วมได้รับการติดตามนานถึงหนึ่งปีหลังการรักษา 4 การศึกษาให้ข้อมูลเกี่ยวกับเงินทุนและการสนับสนุนอื่น ๆ โดย 2 การศึกษาได้รับทุนจากภาครัฐ และบริษัทยาเป็นผู้จัดหายารักษาให้ในอีกสองการศึกษา
การศึกษาเปรียบเทียบ ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์ทั่วร่างกาย:
- กับไม่ได้รับการรักษา (1 การศึกษา)
- บวกยาปฏิชีวนะเฉพาะที่กับยาปฏิชีวนะเฉพาะที่เพียงอย่างเดียว (7 การศึกษา)
- ร่วมกับการรักษาอื่น (นอกเหนือจากยาปฏิชีวนะเฉพาะที่เพียงอย่างเดียว) เมื่อเทียบกับการรักษาแบบเดียวกันนี้โดยไม่ใช้ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์ทั่วร่างกาย (4 การศึกษา)
- กับยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์ทั่วร่างกายอื่นๆ (10 การศึกษา)
ผลลัพธ์หลัก
- ยาปฏิชีวนะทั่วร่างกายอย่างเดียวกับไม่มีการรักษา
เราไม่ทราบว่า ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์ทั่วร่างกายเพียงอย่างเดียวจะดีกว่าหรือแย่กว่าการไม่รักษา
ยาปฏิชีวนะทั่วร่างกายและยาปฏิชีวนะเฉพาะที่กับยาปฏิชีวนะเฉพาะที่อย่างเดียว
ยาปฏิชีวนะแบบออกฤทธิ์ทั่วร่างกายร่วมกับยาปฏิชีวนะใช้เฉพาะที่อาจมีผลกระทบเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยต่อการหยุดการมีน้ำออกจากหูหลังจากหนึ่งถึงสองสัปดาห์เมื่อเทียบกับยาปฏิชีวนะเฉพาะที่เพียงอย่างเดียว (3 การศึกษา) เราไม่ทราบว่า ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์ทั่วร่างกาย ร่วมกับยาปฏิชีวนะแบบทาเฉพาะที่จะมีผลในเชิงบวกหรือเชิงลบอื่นใดหรือไม่
- ยาปฏิชีวนะทั่วร่างกายร่วมกับการรักษาอื่น ๆ (นอกเหนือจากยาปฏิชีวนะเฉพาะที่เพียงอย่างเดียว) กับการรักษาแบบเดียวกันนี้โดยไม่ใช้ยาปฏิชีวนะทั่วร่างกาย
เราไม่ทราบว่า ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์ทั่วร่างกาย มีประสิทธิผลหรือทำให้เกิดเหตุการณ์อันตรายหรือไม่เมื่อใช้ร่วมกับการรักษาอื่นๆ นอกเหนือไปจากยาปฏิชีวนะเฉพาะที่เท่านั้น
การเปรียบเทียบระหว่างยาปฏิชีวนะทั่วร่างกายชนิดต่างๆ
เราไม่รู้ว่ายาปฏิชีวนะทั่วร่างกายบางตัวดีกว่ายาตัวอื่นหรือไม่
โดยทั่วไปหลักฐานยังมีจำกัด ซึ่งทำให้ยากที่จะบอกว่า ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์ทั่วร่างกาย อาจมีผลเป็นอันตรายหรือไม่ อย่างไรก็ตาม เป็นที่ทราบกันอย่างกว้างขวางว่า ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์ทั่วร่างกาย อาจมีผลข้างเคียง เช่น ท้องเสียหรือคลื่นไส้ และยังมีความเสี่ยงต่ออาการแพ้ทั่วร่างกาย เช่น ผื่นผิวหนังได้อีกด้วย ความเสี่ยงของเหตุการณ์เหล่านี้คาดว่าจะคล้ายกับการรักษาการติดเชื้ออื่นๆ ที่มีขนาดยาและระยะเวลาการรักษาที่ใกล้เคียงกับ CSOM ยังมีข้อกังวลที่กว้างขึ้นเกี่ยวกับการใช้ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์ทั่วร่างกายมากเกินไปและการดื้อยาปฏิชีวนะที่เพิ่มมากขึ้น
ข้อจำกัดของหลักฐานคืออะไร
เรามีความเชื่อมั่นในหลักฐานน้อยมากหรือแทบไม่มีเลยเนื่องจาก: มีการศึกษาน้อยเกินไป; การศึกษาส่วนใหญ่มีขนาดเล็ก; การศึกษาบางส่วนใช้วิธีการที่อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดในผลลัพธ์; และบางการศึกษาก็รายงานข้อมูลน้อย
การทบทวนวรรณกรรมนี้ทันสมัยแค่ไหน
หลักฐานเป็นปัจจุบันจนถึง เดือนมิถุนายน 2022
อ่านบทคัดย่อฉบับเต็ม
โรคหูชั้นกลางอักเสบเรื้อรังแบบมีหนอง (CSOM) ซึ่งบางครั้งเรียกว่าโรคหูชั้นกลางอักเสบเรื้อรัง (COM) เป็นอาการอักเสบเรื้อรังและมักเกิดจากการติดเชื้อจุลินทรีย์หลายชนิดในหูชั้นกลางและช่องกกหู โดยมีลักษณะเฉพาะคือมีของเหลวไหลออกจากหู (otorrhoea) ผ่านเยื่อแก้วหูที่มีรู ซึ่งอาการที่เด่นชัดของ CSOM คือมีของเหลวไหลออกจากหูร่วมกับสูญเสียการได้ยิน ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิทั่วร่างกายมักมีการใช้เพื่อรักษาผู้ป่วย CSOM
นี่คือการอัปเดตครั้งแรกสำหรับการทบทวนที่เผยแพร่ในปี 2021 และเป็นหนึ่งในชุดการทบทวน Cochrane เจ็ดฉบับที่ประเมินผลกระทบของการแทรกแซงที่ไม่ต้องผ่าตัดสำหรับ CSOM
วัตถุประสงค์
เพื่อประเมินผลของยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์ทั่วร่างกาย เมื่อเทียบกับยาหลอก การไม่ได้รับการรักษา หรือยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์ทั่วร่างกายอื่น ๆ ในผู้ป่วยโรคหูชั้นกลางอักเสบเรื้อรังแบบมีหนอง (CSOM)
วิธีการสืบค้น
เราได้ค้นหาใน Cochrane Ear, Nose, and Throat Register, CENTRAL, MEDLINE, Embase, ฐานข้อมูลอื่นอีกสี่แห่ง และทะเบียนการทดลองทางคลินิกสองแห่งจนถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2022
เกณฑ์การคัดเลือก
เรารวมการทดลองแบบสุ่มควบคุมเปรียบเทียบยาปฏิชีวนะทั่วร่างกาย (ทางปากการฉีดยา) กับยาหลอก / ไม่มีการรักษาหรือยาปฏิชีวนะทั่วร่างกายอื่น ๆ โดยมีระยะเวลาติดตามผลอย่างน้อย 1 สัปดาห์ซึ่งเกี่ยวข้องกับผู้ป่วยที่มีอาการของเหลวจากหูไหลเรื้อรัง (อย่างน้อย 2 สัปดาห์) โดยไม่ทราบสาเหตุหรือเนื่องจาก CSOM การรักษาอื่น ๆ สามารถเข้าได้ถ้าได้รับทั้งในกลุ่มรักษาและกลุ่มควบคุม
การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล
เราใช้ระเบียบวิธีมาตรฐานของ Cochrane ผลลัพธ์หลักของเราคือ: การแก้ไขอาการมีของเหลวไหลออกจากหูหรือ "หูแห้ง" (ไม่ว่าจะได้รับการยืนยันโดยการส่องกล้องตรวจหูหรือไม่ก็ตาม) โดยวัดในช่วง 1 สัปดาห์ถึง 2 สัปดาห์, 2 สัปดาห์ถึง 4 สัปดาห์ และหลังจาก 4 สัปดาห์ คุณภาพชีวิตที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพโดยใช้เครื่องมือที่ผ่านการตรวจสอบ และอาการปวดหู (ปวดหู) หรือรู้สึกไม่สบายหรืออาการระคายเคืองในบริเวณนั้น ผลลัพธ์รอง ได้แก่ การได้ยิน, ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง และความเป็นพิษต่อหูที่วัดโดยหลายวิธี เราใช้ GRADE เพื่อประเมินความเชื่อมั่นของหลักฐานสำหรับแต่ละผลลัพธ์
ผลการวิจัย
การอัพเดตนี้พบการศึกษาใหม่ 3 รายการ (ผู้เข้าร่วม 390 คน) โดยรวมแล้ว เราได้รวม 21 การศึกษา (ผู้เข้าร่วม 2,525 ราย) เรารายงานการเปรียบเทียบหลักสี่ประการด้านล่างนี้ และอธิบายอีกสี่ประการเพิ่มเติมในส่วนผลลัพธ์ของการทบทวนวรรณกรรม
1. ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิทั่วร่างกายเทียบกับไม่มีการรักษา / ยาหลอก
จากเพียง 1 การศึกษาไม่เชื่อมั่นอย่างมากว่ามีข้อแตกต่างระหว่างยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิทั่วร่างกาย (ฉีดเข้าเส้นเลือด) กับยาหลอกในการแก้ไขอาการมีของเหลวไหลออกจากหูระหว่าง 1 ถึง 2 สัปดาห์หรือไม่ (อัตราส่วนความเสี่ยง (RR) 8.47, ช่วงความเชื่อมั่น 95% (CI) 1.88 ถึง 38.21; 1 การศึกษา ผู้เข้าร่วม 33 ราย; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก) การศึกษาไม่ได้รายงานผลการแก้ไขอาการมีของเหลวไหลออกจากหูหลังจากสองสัปดาห์หรือคุณภาพชีวิตที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ หลักฐานไม่เชื่อมั่นมากสำหรับการได้ยินและภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง (ในกะโหลกศีรษะ) การศึกษาไม่ได้รายงานอาการปวดหูและการสงสัยว่าเกิดพิษต่อหู
2. ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธ์ทั่วร่างกายเทียบกับไม่ได้รับการรักษา / ยาหลอก (ทั้งสองกลุ่มได้รับยาปฏิชีวนะเฉพาะที่)
7 การศึกษาได้ประเมินการเปรียบเทียบนี้ โดยมี 5 การศึกษาที่นำเสนอข้อมูลที่สามารถใช้ได้ อาจมีความแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยระหว่าง ciprofloxacin ชนิดรับประทานกับยาหลอก/ไม่ได้รับการรักษา (โดยผู้เข้าร่วมทั้งหมดได้รับยาหยอดหู ciprofloxacin) ในการแก้ไขอาการของเหลวไหลออกจากหูระหว่าง 1 ถึง 2 สัปดาห์ (RR 1.05, 95% CI 0.94 ถึง 1.17; I 2 = 0%; 3 การศึกษา ผู้เข้าร่วม 300 ราย; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ) โดยมีผลลัพธ์ที่คล้ายคลึงกันที่ 2 ถึง 4 สัปดาห์ 1 การศึกษารายงานผลลัพธ์เกินกว่าสี่สัปดาห์ แต่ผลลัพธ์นั้นใช้ไม่ได้ ไม่มีการศึกษาใดรายงานคุณภาพชีวิตที่มีผลต่อสุขภาพ หลักฐานไม่เชื่อมั่นมาก สำหรับอาการปวดหู ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงและการเป็นพิษต่อหูที่สงสัย
3. ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธ์ทั่วร่างกายเทียบกับการไม่รักษา/ยาหลอก (บวกยาปฏิชีวนะและสเตียรอยด์แบบทาในทั้งสองกลุ่มการศึกษา)
2 การศึกษาใช้ยาปฏิชีวนะเฉพาะที่ร่วมกับสเตียรอยด์เฉพาะที่เป็นการรักษาพื้นฐานในทั้งสองกลุ่มการศึกษา ยังไม่เชื่อมั่นมากว่าความแตกต่างของการแก้ไขอาการมีของเหลวไหลออกจากหูระหว่าง metronidazole และยาหลอกที่ 2 ถึง 4 สัปดาห์จะเป็นอย่างไร (RR 0.91, 95% CI 0.51 ถึง 1.65; 1 การศึกษา ผู้เข้าร่วม 30 คน) การศึกษานี้ไม่ได้รายงานผลลัพธ์อื่น ๆ นอกจากนี้ ยังมีความไม่เชื่อมั่นมากว่า co-trimoxazole จะปรับปรุงการแก้ไขอาการมีของเหลวไหลออกจากหูหลังจากสี่สัปดาห์เมื่อเทียบกับยาหลอกหรือไม่ (RR 1.54, 95% CI 1.09 ถึง 2.16; 1 การศึกษา ผู้เข้าร่วม 98 ราย; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก) จากการรายงานเชิงบรรยายของ 1 การศึกษา พบว่าไม่มีหลักฐานของความแตกต่างระหว่างกลุ่มในเรื่องคุณภาพชีวิตที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ การได้ยิน หรือภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง (หลักฐานที่มีความเชื่อมั่นต่ำมาก)
4. ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธ์ทั่วร่างกายเทียบกับการไม่รักษา/ยาหลอก (บวกกับยาฆ่าเชื้อเฉพาะที่ในทั้งสองกลุ่มการศึกษา)
1 การศึกษา (ผู้เข้าร่วม 136 คน) ใช้ ยาฆ่าเชื้อเฉพาะที่ เป็นการรักษาพื้นฐานในทั้งสองกลุ่มและพบการแก้ไขอาการมีของเหลวไหลออกจากหูที่ไม่แตกต่างกันระหว่าง amoxicillin และกลุ่มที่ไม่มีการรักษาที่ช่วง 3 ถึง 4 เดือน (RR 1.03, 95% CI 0.75 ถึง 1.41; ผู้เข้าร่วม 136 คน; 1 การศึกษา ; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก) รายงานแบบบรรยายระบุว่าไม่มีหลักฐานของความแตกต่างในการได้ยิน หรือสงสัยว่าเป็นพิษต่อหู (หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก) การศึกษานี้ไม่ได้รายงานผลลัพธ์อื่น ๆ
ข้อจำกัดได้แก่ความแตกต่างกันในระยะเวลาและคำจำกัดความของ CSOM ที่ใช้โดยการศึกษาที่รวมอยู่ในการทบทวนวรรณกรรม แม้ว่าเราได้วางแผนการวิเคราะห์กลุ่มย่อยสำหรับลักษณะผู้เข้าร่วมที่แตกต่างกัน ระยะเวลาการรักษา และขอบเขตการออกฤทธิ์ของยาปฏิชีวนะ แต่เราไม่ได้ดำเนินการวิเคราะห์เหล่านี้เนื่องจากขาดข้อมูล
ข้อสรุปของผู้วิจัย
หลักฐานที่มีอยู่เพื่อพิจารณาว่า ยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์ทั่วร่างกาย มีประสิทธิผลในการแก้ไขอาการของเหลวไหลออกจากหูในผู้ป่วย CSOM หรือไม่นั้นยังมีจำกัด เราไม่เชื่อมั่นมากว่ายาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์ทั่วร่างกาย ที่ใช้เพียงอย่างเดียว (ร่วมกับการทำความสะอาดหูหรือไม่) จะมีประสิทธิผลมากกว่ายาหลอกหรือไม่ได้รับการรักษา เมื่อเพิ่มการรักษา เช่น ยาปฏิชีวนะเฉพาะที่ อาจมีความแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยในการแก้ไขอาการของเหลวไหลออกจากหู (หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก) ข้อมูลมีเฉพาะสำหรับยาปฏิชีวนะบางกลุ่มเท่านั้น จึงไม่เชื่อมั่นว่ายาปฏิชีวนะในกลุ่มหนึ่งจะมีประสิทธิผลมากกว่าอีกกลุ่มหนึ่งหรือไม่ ผลที่เป็นอันตรายจากยาปฏิชีวนะที่ออกฤทธิ์ทั่วร่างกาย มีรายงานน้อยในงานวิจัยที่รวมอยู่
แปลโดย ศ.นพ. ภิเศก ลุมพิกานนท์ ภาควิชา สูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย ขอนแก่น 9 กุรกฎาคม 2025 Edit โดย ศ. พ.ญ. ผกากรอง ลุมพิกานนท์ 20 กันยายน 2025