รับประทานยาลดความดันโลหิตตอนเช้าหรือเย็นเพื่อรักษาความดันโลหิตสูงอย่างไหนดีกว่ากัน

ใจความสำคัญ

— การเสียชีวิตระหว่างการรับประทานยาลดความดันโลหิตในตอนเช้าหรือเย็นอาจมีความแตกต่างเล็กน้อยถึงไม่มีเลย แต่เราไม่เชื่อมั่นในผลลัพธ์ ไม่ทราบความแตกต่างของผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์

— การรับประทานยาลดความดันโลหิตในช่วงเย็นอาจช่วยควบคุมความดันโลหิตได้ดีกว่าการให้ยาในตอนเช้าเล็กน้อยเพื่อเปลี่ยนความดันโลหิตในระยะเวลา 24 ชั่วโมง แต่เราไม่เชื่อมั่นในผลลัพธ์

ความดันโลหิตสูงคืออะไร

ความดันโลหิตสูง (hypertension) คือภาวะที่ความดันภายในหลอดเลือดแดงเท่ากับ 130 มม.ปรอท หรือมากกว่าเมื่อหัวใจบีบตัว หรือ 80 มม.ปรอท หรือมากกว่าเมื่อหัวใจผ่อนคลาย หรือทั้งสองอย่าง สาเหตุของความดันโลหิตสูงอาจไม่ชัดเจนหรือเกิดจากโรคบางชนิด เช่น โรคไต ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงมักไม่มีอาการ แต่มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคไต

ความดันโลหิตสูงรักษาอย่างไร

มีหลายวิธีที่จะช่วยลดความดันโลหิตสูงได้

– รับประทานยาลดความดันโลหิต

— ลดน้ำหนัก (หากคุณมีน้ำหนักเกิน)

— ออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน เกือบทุกวันในสัปดาห์

— เลือกอาหารที่มีเกลือและไขมันต่ำ และอุดมไปด้วยผักและผลไม้

— ดื่มแอลกอฮอล์ให้น้อยลง (หากคุณดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากกว่าสอง drinks ต่อวัน)

เราต้องการค้นหาอะไร

เราต้องการทราบว่าการรับประทานยาลดความดันโลหิตในช่วงเย็นให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการรับประทานตอนเช้าเพื่อทำให้การเสียชีวิต ผลที่ไม่พึงประสงค์ต่อหัวใจและหลอดเลือด ผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์โดยรวม และระดับความดันโลหิตดีขึ้นหรือไม่

เราทำอะไร

เราค้นหาการศึกษาที่เปรียบเทียบการใช้ยาลดความดันโลหิตในช่วงเย็นกับการรับประทานในตอนเช้าในผู้ที่มีความดันโลหิตสูงที่ไม่ทราบสาเหตุ เราเปรียบเทียบและสรุปผลการศึกษา และประเมินความเชื่อมั่นของเราต่อหลักฐาน โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น วิธีการศึกษาและขนาดของการศึกษา

เราพบอะไร

เราพบ 25 การศึกษา ซึ่งรวมถึงผู้ที่มีความดันโลหิตสูงโดยไม่ทราบสาเหตุ 3016 รายที่รายงานผลลัพธ์หลังจากการรักษาด้วยยาลดความดันโลหิตเป็นเวลาสามถึง 26 สัปดาห์

ผลลัพธ์หลัก

การเสียชีวิตจากสาเหตุทั้งหมดและผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์โดยรวมอาจแตกต่างกันเล็กน้อยหรือไม่มีเลย แต่หลักฐานมีความไม่แน่นอนอย่างมาก — การรับประทานยาลดความดันโลหิตในช่วงเย็นอาจช่วยควบคุมความดันโลหิตได้ดีกว่าการให้ยาในตอนเช้าเล็กน้อยเพื่อเปลี่ยนความดันโลหิตในระยะเวลา 24 ชั่วโมง แต่เราไม่เชื่อมั่นในผลลัพธ์ ไม่มีการศึกษารายงานผลที่ไม่พึงประสงค์ต่อหัวใจและหลอดเลือด

ข้อจำกัดของหลักฐานคืออะไร

ปัจจัยหลักจำนวนน้อยลดความเชื่อมั่นในหลักฐานของเรา หลักฐานไม่ได้ครอบคลุมถึงคนผิวดำและชาวเอเชียจำนวนมาก ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์มากกว่า ผู้ที่รับประทานยาลดความดันโลหิตมากกว่าหนึ่งประเภท ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงที่เกิดจากโรคบางชนิด และคนทำงานเป็นกะ นอกจากนี้ระยะเวลาการศึกษายังน้อยกว่า 6 เดือน นอกจากนี้ยังมีการศึกษาไม่เพียงพอที่จะมั่นใจเกี่ยวกับผลลัพธ์ของเรา เป็นไปได้ว่าผู้คนในการศึกษาทราบว่าตนได้รับการรักษาแบบใด ข้อมูลสำคัญอาจสูญหายในการศึกษา และการศึกษาบางส่วนไม่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เราสนใจ ประการที่สอง ผลลัพธ์ไม่สอดคล้องกันอย่างมากในการศึกษาต่างๆ

การที่เราขาดความเชื่อมั่นในผลลัพธ์หมายความว่าการวิจัยเพิ่มเติมอาจเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ในการทบทวนวรรณกรรมนี้ได้

หลักฐานนี้เป็นปัจจุบันแค่ไหน

การทบทวนวรรณกรรมนี้เป็นการปรับปรุงการทบทวนวรรณกรรมก่อนหน้า หลักฐานเป็นปัจจุบันถึงเดือนมิถุนายน 2022

ข้อสรุปของผู้วิจัย: 

เนื่องจากข้อมูลที่จำกัดมากและข้อบกพร่องของการออกแบบการทดลอง การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบนี้ไม่พบหลักฐานที่เพียงพอในการพิจารณาว่าแผนการบำบัดด้วยยาแบบให้ตามเวลาใดมีผลประโยชน์มากกว่าต่อผลลัพธ์ด้านหัวใจและหลอดเลือดหรือเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ เรามีความเชื่อมั่นน้อยมากในหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าการให้ยาลดความดันโลหิตตอนเย็นไม่มีประสิทธิผลมากหรือน้อยไปกว่าการให้ยาในตอนเช้าเพื่อลดความดันโลหิตตลอด 24 ชั่วโมง

ไม่ควรถือว่าข้อสรุปนี้ใช้กับผู้ที่ได้รับยาลดความดันโลหิตหลายตัว

อ่านบทคัดย่อฉบับเต็ม
บทนำ: 

การเปลี่ยนแปลงของระดับความดันโลหิตจะแสดงจังหวะรอบวัน การควบคุมความดันโลหิตตลอด 24 ชั่วโมงโดยสมบูรณ์เป็นเป้าหมายหลักของการรักษาความดันโลหิต และการลดผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดเป็นเป้าหมายสูงสุด นี่คือการปรับปรุงการทบทวนวรรณกรรมที่เผยแพร่ครั้งแรกในปี 2011

วัตถุประสงค์: 

เพื่อประเมินประสิทธิผลของผลที่เกี่ยวข้องกับเวลาการให้ยาของการรักษาด้วยยาลดความดันโลหิตที่ให้วันละครั้งตอนเย็นเทียบกับการให้ยาลดความดันโลหิตทั่วไปในตอนเช้าต่อการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุ การเสียชีวิตและการเจ็บป่วยจากโรคหัวใจและหลอดเลือด เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ทั้งหมด การถอนตัวจากการรักษาเนื่องจากผลข้างเคียง และการลดลงของความดันโลหิตซิสโตลิกและไดแอสโตลิกในผู้ที่มีความดันโลหิตสูงชนิด primary hypertension

วิธีการสืบค้น: 

เราค้นหา Cochrane Hypertension Specialized Register ผ่านทาง Cochrane Register of Studies (17 มิถุนายน 2022), Cochrane Central Register of Controlled Trials (CENTRAL) (ฉบับที่ 6, 2022); MEDLINE, MEDLINE อยู่ระหว่างดำเนินการ และ MEDLINE Epub ก่อนเผยแพร่ (1 มิถุนายน 2022); Embase (1 มิถุนายน 2022); ClinicalTrials.gov (2 มิถุนายน 2022); Chinese Biomedical Literature Database (CBLD) (1978 ถึง 2009); วีไอพีชาวจีน (2009 ถึง 7 สิงหาคม 2022); ข้อมูล WANFANG ของจีน (2009 ถึง 4 สิงหาคม 2022); China Academic Journal Network Publishing Database (CAJD) (2009 ถึง 6 สิงหาคม 2022); Epistemonikos (3 กันยายน 2022) และรายการอ้างอิงของบทความที่เกี่ยวข้อง เราไม่มีข้อจำกัดด้านภาษา

เกณฑ์การคัดเลือก: 

เรารวมการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มเปรียบเทียบ (RCTs) ที่เปรียบเทียบผลที่เกี่ยวข้องกับเวลาของแผนการรักษาเดี่ยวที่ให้ยาในช่วงเย็นเทียบกับตอนเช้าในในผู้ที่มีความดันโลหิตสูงชนิด primary hypertension เราคัดแยกผู้ที่มีความดันโลหิตสูงทุติยภูมิ คนทำงานเป็นกะ หรือผู้ที่มี white coat hypertension

การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล: 

ผู้ทบทวนวรรณกรรม 2 คน ดึงข้อมูลและประเมินคุณภาพของการศึกษาอย่างเป็นอิสระต่อกัน เราแก้ไขข้อขัดแย้งด้วยการหารือกันหรือกับผู้ทบทวนวรรณกรรมรายอื่น เราดำเนินการสังเคราะห์ข้อมูลและวิเคราะห์โดยใช้ Review Manager Web สำหรับการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุ การเสียชีวิตและโรคหลอดเลือดหัวใจ เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ร้ายแรง เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์โดยรวม การถอนตัวเนื่องจากเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ การเปลี่ยนแปลงของความดันโลหิตใน 24 ชั่วโมง และการเปลี่ยนแปลงของความดันโลหิตในตอนเช้า เราประเมินความเชื่อมั่นของหลักฐานโดยใช้ GRADE เราทำ random-effects meta-analysis, fixed-effect meta-analysis, subgroup analysis และ sensitivity analysis

ผลการวิจัย: 

เรารวม 27 RCTs ในการทบทวนวรรณกรรมฉบับปรับปรุงนี้ โดย 2 RCTsไม่รวมอยู่ใน meta-analyses เนื่องจากขาดข้อมูลและจำนวนกลุ่มที่ไม่ได้มีการรายงาน

การวิเคราะห์เชิงปริมาณรวม 25 RCTs โดยมีผู้เข้าร่วม 3016 รายที่มีความดันโลหิตสูงชนิด primary hypertension การศึกษา RCTs ใช้ angiotensin-converting enzyme inhibitors (6 การทดลอง) calcium channel blockers (9 การทดลอง), angiotensin II receptor blockers (7 การทดลอง), ยาขับปัสสาวะ (2 การทดลอง), α-blockers (1 การทดลอง) และ β-blockers (1 การทดลอง) ) 15 การทดลองได้รับการออกแบบเป็นแบบขนาน และ 10 การทดลองได้รับการออกแบบแบบไขว้กัน ผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่เป็นผิวขาว และมีเพียง 2 RCTs เท่านั้นที่ดำเนินการในเอเชีย (จีน) และ 1 รายการในแอฟริกา (แอฟริกาใต้) การทดลองทั้งหมดไม่รวมผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงของภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายและโรคหลอดเลือดสมอง การทดลองส่วนใหญ่มีความเสี่ยงสูงหรือความเสี่ยงที่ไม่ชัดเจนของอคติในเกณฑ์หลักอย่างน้อยสองข้อจากหลายเกณฑ์ ซึ่งโดดเด่นที่สุดในการปกปิดการจัดสรร (อคติในการเลือก) และการเลือกผลลัพธ์เพื่อรายงาน (อคติในการรายงาน) การวิเคราะห์ meta-analysis แสดงให้เห็นความแตกต่างที่มีนัยสำคัญของการทดลองต่างๆ

ไม่มี RCTs รายงานเกี่ยวกับการเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจและการเจ็บป่วยจากโรคหลอดเลือดหัวใจ

อาจมีความแตกต่างเล็กน้อยหรือไม่มีเลยในการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุ (หลังจาก 26 สัปดาห์ของการรักษาที่ออกฤทธิ์: RR 0.49, 95% CI 0.04 ถึง 5.42; RD 0, 95% CI −0.01 ถึง 0.01; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก) เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ร้ายแรง (หลังจาก 8 ถึง 26 สัปดาห์ของการรักษาที่ออกฤทธิ์: RR 1.17, 95% CI 0.53 ถึง 2.57; RD 0, 95% CI -0.02 ถึง 0.03; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก) เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์โดยรวม (หลังจาก 6 ถึง 26 สัปดาห์ของการรักษาที่ออกฤทธิ์: RR 0.89, 95% CI 0.67 ถึง 1.20; I² = 37%; RD −0.02, 95% CI −0.07 ถึง 0.02; I² = 38%; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก) และการถอนตัวเนื่องจากเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ (หลังจากการรักษาที่ออกฤทธิ์เป็นเวลา 6 ถึง 26 สัปดาห์: RR 0.76, 95% CI 0.47 ถึง 1.23; I² = 0%; RD −0.01, 95% CI −0.03 ถึง 0; I² = 0%; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก) แต่หลักฐานมีความไม่แน่นอนอย่างมาก

บันทึกการแปล: 

แปลโดย ศ.นพ. ภิเศก ลุมพิกานนท์ ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 18 มีนาคม 2024

Tools
Information