ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ประโยชน์และความเสี่ยงของรูปแบบการดูแลทางเลือกสำหรับผู้ที่มีอาการปวดหลังส่วนล่างคืออะไร

ใจความสำคัญ

- เมื่อเปรียบเทียบกับการดูแลตามปกติ รูปแบบการดูแลทางเลือกน่าจะไม่ได้ช่วยปรับปรุงคุณภาพการดูแลสำหรับผู้ที่มีอาการปวดหลังส่วนล่างอย่างมีนัยสำคัญ ในด้านการส่งต่อหรือการใช้การสร้างภาพกระดูกสันหลังส่วนเอว (lumbar spine imaging) และการสั่งจ่ายหรือการใช้ยาแก้ปวดกลุ่มโอปิออยด์

- รูปแบบการดูแลทางเลือกไม่ได้สร้างความแตกต่างที่สำคัญต่อระดับความปวดหรือการทำงานของหลัง

- เราไม่เชื่อมั่นเกี่ยวกับผลต่อการผ่าตัดกระดูกสันหลังส่วนเอว การเข้ารักษาในโรงพยาบาล และเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ (ที่ไม่ต้องการหรือเป็นอันตราย) โดยรวม

อาการปวดหลังส่วนล่างแบบไม่เฉพาะเจาะจงคืออะไร และรักษาอย่างไร

อาการปวดหลังส่วนล่าง (เกิดขึ้นระหว่างบริเวณด้านล่างของซี่โครงและด้านบนของก้นกบ) เป็นปัญหาที่พบบ่อยและอาจทำให้พิการได้ ในคนส่วนใหญ่ ไม่สามารถระบุสาเหตุที่แน่ชัดของปัญหาได้

การดูแลผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลังส่วนล่างส่วนใหญ่ไม่ได้ปฏิบัติตามแนวปฏิบัติที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์อย่างครบถ้วน เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น ผู้คนอาจไม่ได้รับประโยชน์ และทรัพยากรด้านการดูแลสุขภาพก็สูญเปล่า รูปแบบการดูแลทางเลือกเป็นการให้การดูแลแบบเดียวกัน แต่เปลี่ยนแปลงวิธีการส่งมอบหรือการประสานงานการดูแลนั้น โดยหวังว่าจะส่งเสริมการปฏิบัติตามแนวปฏิบัติที่อิงตามหลักฐานเชิงประจักษ์ และปรับปรุงผลลัพธ์ทางสุขภาพของผู้ป่วยให้ดีขึ้น ตัวอย่าง ได้แก่ การแพทย์ทางไกลเมื่อเทียบกับการดูแลแบบพบหน้ากัน หรือการดูแลที่มอบให้กับกลุ่มเมื่อเทียบกับการดูแลผู้ป่วยรายบุคคล

เราต้องการค้นหาอะไร

เราต้องการทราบว่าการดูแลในรูปแบบเดิมแต่ใช้วิธีที่แตกต่างกันจะช่วยปรับปรุงคุณภาพการดูแลและผลลัพธ์ด้านสุขภาพของผู้ป่วยที่ปวดหลังส่วนล่างแบบไม่เฉพาะเจาะจงหรือไม่

เราทำอะไรบ้าง

เราค้นหาการศึกษาที่ศึกษารูปแบบการดูแลทางเลือกเมื่อเปรียบเทียบกับการดูแลตามปกติในผู้ที่มีอาการปวดหลังส่วนล่างที่ไม่เฉพาะเจาะจง เราเปรียบเทียบและสรุปผลการศึกษา และให้คะแนนความเชื่อมั่นของเราในหลักฐาน โดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น วิธีการศึกษาและขนาดของการศึกษา

เราพบอะไร

เรานำเข้าการศึกษา 57 ฉบับ (จำนวน 29,578 คน) ส่วนใหญ่อยู่ในสถานพยาบาลปฐมภูมิ ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ทั่วไปหรือกายภาพบำบัด ในประเทศที่มีรายได้สูง

ผลลัพธ์หลัก

เมื่อเทียบกับการดูแลตามปกติ พบว่ามีผู้ป่วยน้อยลง 19 รายจาก 1000 รายที่ได้รับการส่งตัวหรือได้รับการตรวจถ่ายภาพกระดูกสันหลังส่วนเอว (เช่น การเอกซเรย์ การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT) การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI)) โดยใช้รูปแบบการดูแลทางเลือก

- 213 คนจาก 1000 คนได้รับการส่งตัว/รับการถ่ายภาพกระดูกสันหลังส่วนเอวด้วยรูปแบบการดูแลทางเลือก

- 232 คนในจำนวน 1000 คนได้รับการส่งตัว/รับการตรวจเอกซเรย์กระดูกสันหลังส่วนเอวพร้อมการดูแลตามปกติ

เมื่อเทียบกับการดูแลตามปกติ มีผู้ได้รับการสั่งจ่ายหรือใช้ยาโอปิออยด์ (เช่น มอร์ฟีน โคเดอีน) ตามรูปแบบการดูแลทางเลือก น้อยลง 17 ราย จาก 1000 ราย

- 332 คนจาก 1000 คนได้รับการกำหนดหรือใช้ยาโอปิออยด์ร่วมกับรูปแบบการดูแลทางเลือก

- 349 คน จาก 1000 คน ได้รับการสั่งจ่ายยาหรือใช้ยาโอปิออยด์ตามการดูแลปกติ

เมื่อเทียบกับการดูแลตามปกติ ผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 2 รายจาก 1000 รายได้รับการส่งตัวหรือเข้ารับการผ่าตัดกระดูกสันหลังส่วนเอวโดยใช้รูปแบบการดูแลทางเลือก

- 76 ใน 1000 คนได้รับการส่งตัวไปพบศัลยแพทย์ หรือได้รับการผ่าตัดกระดูกสันหลังส่วนเอวโดยใช้รูปแบบการดูแลทางเลือก

- 74 ใน 1000 คนถูกส่งตัวไปพบศัลยแพทย์ หรือได้รับการผ่าตัดกระดูกสันหลังส่วนเอวด้วยการดูแลตามปกติ

เมื่อเทียบกับการดูแลตามปกติ ผู้ป่วยจำนวนน้อยกว่า 23 รายจาก 1000 รายที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยรูปแบบการดูแลทางเลือก

- ผู้ป่วย 176 ราย จาก 1000 รายเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลโดยใช้รูปแบบการดูแลทางเลือก

- ผู้ป่วย 199 ราย จากจำนวน 1000 ราย เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลโดยได้รับการดูแลตามปกติ

ความเจ็บปวดถูกวัดบนมาตราส่วน 0 ถึง 10 คะแนน (คะแนนต่ำกว่าหมายถึงความเจ็บปวดน้อยลง) และดีขึ้น 0.24 คะแนนด้วยแบบการดูแลทางเลือก

- ผู้ที่ได้รับการดูแลทางเลือกให้คะแนนความเจ็บปวดของตนอยู่ที่ 2.2 คะแนน

- ผู้ที่ได้รับการดูแลตามปกติให้คะแนนความเจ็บปวดของตนอยู่ที่ 2.4 คะแนน

มีการวัดการทำงายที่เกี่ยวข้องกับหลังโดยใช้มาตราส่วน 0 ถึง 24 จุด (คะแนนต่ำกว่าหมายถึงความพิการน้อยลง) และดีขึ้น 0.7 คะแนนด้วยรูปแบบการดูแลแบบทางเลือกเมื่อเทียบกับการดูแลตามปกติ

- ผู้ที่ได้รับการดูแลทางเลือกให้คะแนนการทำงานของหลังที่เกี่ยวข้องกับตนเองอยู่ที่ 5.7 คะแนน

- ผู้ที่ได้รับการดูแลตามปกติมีคะแนนการทำงานของหลังอยู่ที่ 6.4 คะแนน

เมื่อเทียบกับการดูแลตามปกติ พบว่ามีผู้ป่วยรายงานเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากรูปแบบการดูแลทางเลือกน้อยกว่า 10 รายจาก 1000 ราย

- 45 คนในจำนวน 1000 คนรายงานเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากการใช้รูปแบบการดูแลทางเลือก

- 55 ใน 1000 รายรายงานเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์โดยได้รับการดูแลตามปกติ

ข้อจำกัดของหลักฐานคืออะไร

เมื่อเปรียบเทียบกับการดูแลตามปกติ เราเชื่อมั่นว่ารูปแบบการดูแลทางเลือก:

- ไม่สร้างความแตกต่างที่สำคัญต่อระดับของความเจ็บปวด

- ไม่สร้างความแตกต่างที่สำคัญต่อการทำงานที่เกี่ยวข้องกับหลัง

เมื่อเปรียบเทียบกับการดูแลตามปกติ เรามีความมั่นใจปานกลางว่ารูปแบบการดูแลทางเลือก:

- ไม่ทำให้เกิดความแตกต่างที่สำคัญต่อความเป็นไปได้ในการส่งต่อหรือการรับการตรวจภาพกระดูกสันหลังส่วนเอว

- ไม่ทำให้เกิดความแตกต่างต่อความเป็นไปได้ของการสั่งจ่ายยาหรือการใช้ยาโอปิออยด์

เมื่อเทียบกับการดูแลตามปกติ เราไม่เชื่อมั่นว่ารูปแบบการดูแลทางเลือก:

- เปลี่ยนโอกาสในการถูกส่งตัวไปพบศัลยแพทย์หรือเข้ารับการผ่าตัดกระดูกสันหลังส่วนเอว

- เปลี่ยนโอกาสการต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยอาการปวดหลังส่วนล่าง

- เปลี่ยนความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์

หลักฐานนี้เป็นปัจจุบันแค่ไหน

หลักฐานเป็นปัจจุบันถึงเดือนมิถุนายน 2024

บทนำ

รูปแบบการดูแลทางเลือกมุ่งพัฒนาคุณภาพหรือประสิทธิภาพของการดูแล หรือทั้งสองอย่างให้ดีขึ้น จึงช่วยให้ผลลัพธ์ทางสุขภาพของผู้ป่วยดีที่สุด พวกเขาให้การดูแลสุขภาพแบบเดียวกัน แต่เปลี่ยนแปลงวิธีการ เวลา สถานที่ และผู้ที่ให้และประสานงานการดูแลสุขภาพ ตัวอย่างได้แก่ การดูแลผ่านระบบการแพทย์ทางไกลเทียบกับการดูแลแบบตัวต่อตัว หรือการดูแลที่ให้แก่กลุ่มผู้ป่วยเทียบกับการดูแลผู้ป่วยรายบุคคล

วัตถุประสงค์

เพื่อประเมินผลกระทบของรูปแบบทางเลือกของการดูแลตามหลักฐานเชิงประจักษ์สำหรับผู้ที่มีอาการปวดหลังส่วนล่างแบบไม่จำเพาะเจาะจง ต่อคุณภาพการดูแลและผลลัพธ์ที่ผู้ป่วยรายงานด้วยตนเอง และเพื่อสรุปความพร้อมใช้งานและข้อค้นพบหลักของการประเมินทางเศรษฐศาสตร์ของรูปแบบทางเลือกเหล่านี้

วิธีการสืบค้น

เราค้นหาใน Cochrane Central Register of Controlled Trials (CENTRAL), MEDLINE, Embase และทะเบียนการทดลองจนถึงวันที่ 14 มิถุนายน 2024 โดยไม่มีการจำกัดด้านภาษา

เกณฑ์การคัดเลือก

เราได้รวมการทดลองแบบสุ่มที่มีการควบคุมที่เปรียบเทียบรูปแบบการดูแลทางเลือกกับการดูแลตามปกติหรือรูปแบบการดูแลอื่น ๆ การทดลองที่เข้าเงื่อนไขต้องตรวจสอบรูปแบบการดูแลที่เปลี่ยนแปลงอย่างน้อยหนึ่งโดเมนของ the Cochrane EPOC delivery arrangement taxonomy และให้การดูแลแบบเดียวกันกับกลุ่มเปรียบเทียบ ผู้เข้าร่วมเป็นบุคคลที่มีอาการปวดหลังส่วนล่างแบบไม่เฉพาะเจาะจง โดยไม่คำนึงถึงระยะเวลาของอาการ ผลลัพธ์หลักคือ คุณภาพการดูแล (การส่งต่อ/การรับภาพกระดูกสันหลังส่วนเอว การสั่งจ่ายยา/การใช้ยาโอปิออยด์ การส่งต่อไปยังศัลยแพทย์/การผ่าตัดกระดูกสันหลังส่วนเอว การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเนื่องจากอาการปวดหลัง) ผลลัพธ์ทางสุขภาพของผู้ป่วย (อาการปวด การทำงานที่เกี่ยวข้องกับหลัง) และเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์

การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล

ผู้ทบทวนวรรณกรรม 2 คนคัดเลือกการศึกษาเพื่อนำเข้า ดึงข้อมูล, และประเมินความเสี่ยงของการมีอคติและความเชื่อมั่นของหลักฐานอย่างอิสระต่อกันโดยใช้ GRADE การเปรียบเทียบหลักคือรูปแบบการดูแลทางเลือกกับการดูแลตามปกติโดยติดตามผลอย่างใกล้ชิดที่สุดภายใน 12 เดือน

ผลการวิจัย

มีการทดลองจำนวน 57 ฉบับ (ผู้เข้าร่วม 29,578 คน) ที่ผ่านเกณฑ์การคัดเข้าของเรา การทดลองส่วนใหญ่ดำเนินการในหน่วยบริการปฐมภูมิ (18 ฉบับ) หรือ คลินิกกายภาพบำบัด (15 ฉบับ) ในประเทศที่มีรายได้สูง (51 ฉบับ) การทดลอง 48 ฉบับ เปรียบเทียบรูปแบบการดูแลทางเลือกกับการดูแลตามปกติ มีความหลากหลายทางคลินิกอย่างมากในบรรดารูปแบบการดูแลทางเลือกต่าง ๆ โมเดลการดูแลทางเลือกส่วนใหญ่แตกต่างจากการดูแลตามปกติ โดยเป็นการปรับเปลี่ยนการประสานงาน/การจัดการกระบวนการดูแล (การทดลอง 18 ฉบับ) หรือโดยการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (การทดลอง 10 ฉบับ)

มีหลักฐานความเชื่อมั่นระดับปานกลางที่ชี้ให้เห็นว่า โมเดลการดูแลทางเลือกน่าจะส่งผลให้เกิดความแตกต่างเพียงเล็กน้อยในการส่งตรวจหรือการได้รับการตรวจด้วยภาพวินิจฉัยกระดูกสันหลังส่วนเอว (lumbar spine imaging) เมื่อติดตามผลใกล้ช่วง 12 เดือน เมื่อเทียบกับการดูแลตามปกติ (อัตราส่วนความเสี่ยง (RR) 0.92, ช่วงความเชื่อมั่น (CI) 95% ตั้งแต่ 0.86 ถึง 0.98; I 2 = 2%; การทดลอง 18 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 16,157 คน) ในการดูแลปกติ ผู้ป่วย 232 รายจากทั้งหมด 1000 รายได้รับการถ่ายภาพกระดูกสันหลังส่วนเอว เมื่อเทียบกับผู้ป่วย 213 รายจากทั้งหมด 1000 รายที่ได้รับแบบการดูแลทางเลือก เราได้ปรับลดระดับความเชื่อมั่นของหลักฐานลง 1 ระดับ เนื่องจากประเด็นด้านความไม่ตรงที่ร้ายแรงมาก (serious indirectness) (อันเนื่องมาจากความหลากหลายในการวัดผลลัพธ์)

หลักฐานที่มีความเชื่อมั่นระดับปานกลางชี้ให้เห็นว่า รูปแบบการดูแลทางเลือกน่าจะส่งผลให้เกิดความแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือไม่แตกต่างเลยในการสั่งจ่ายหรือการใช้ยากลุ่มโอปิออยด์ ณ จุดติดตามผลที่ใกล้เคียงกับ 12 เดือน เมื่อเปรียบเทียบกับการดูแลตามปกติ (RR 0.95, 95% CI 0.89 ถึง 1.03; I 2 = 0%; การทดลอง 15 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 13,185 คน) ในการดูแลตามปกติ มีผู้ใช้ยาโอปิออยด์ 349 คน จาก 1000 คน เมื่อเปรียบเทียบกับรูปแบบการดูแลทางเลือกซึ่งมีผู้ใช้ยา 332 คน จาก 1000 คน เราได้ปรับลดระดับความเชื่อมั่นของหลักฐานลง 1 ระดับ เนื่องจากประเด็นด้านความไม่ตรงที่ร้ายแรงมาก (serious indirectness) (อันเนื่องมาจากความหลากหลายในการวัดผลลัพธ์)

เรายังไม่แน่ใจว่ารูปแบบการดูแลทางเลือกจะเปลี่ยนแปลงการส่งต่อเพื่อเข้ารับ หรือการเข้ารับการผ่าตัดกระดูกสันหลังส่วนเอว ณ จุดติดตามผลที่ใกล้เคียง 12 เดือนหรือไม่ เมื่อเทียบกับการดูแลตามปกติ เนื่องจากความเชื่อมั่นของหลักฐานอยู่ในระดับต่ำมาก (OR 1.04, ช่วงความเชื่อมั่น 95% (95% CI) 0.79 ถึง 1.37; I 2 = 0%; จากการทดลอง 10 ฉบับ มีผู้เข้าร่วม 4189 คน) เราได้ลดระดับความเชื่อมั่นของหลักฐานลง 3 ระดับ เนื่องจากปัญหาความไม่แม่นยำที่ร้ายแรงมาก (สะท้อนจากช่วงความเชื่อมั่น (CI) ที่กว้าง) และจากประเด็นด้านความไม่ตรงที่ร้ายแรงมาก (อันเนื่องมาจากความหลากหลายในการวัดผลลัพธ์)

เราไม่แน่ใจว่ารูปแบบการดูแลทางเลือกเปลี่ยนแปลงการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสำหรับอาการปวดหลังส่วนล่างแบบไม่จำเพาะเจาะจง ณ จุดติดตามผลที่ใกล้เคียง 12 เดือนหรือไม่ เมื่อเปรียบเทียบกับการดูแลตามปกติ เนื่องจากความเชื่อั่นของหลักฐานอยู่ในระดับต่ำมาก (OR 0.86, 95% CI 0.67 ถึง 1.11; I 2 = 8%; การทดลอง 12 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 10,485 คน) เราลดระดับความเชื่อมั่นของหลักฐานลง 3 ระดับเนื่องจากความไม่ตรงอย่างร้ายแรง (ความหลากหลายในการวัดผลลัพธ์) อคติในการตีพิมพ์อย่างร้ายแรง (ผลที่ไม่สมดุล) ความไม่แม่นยำเล็กน้อย (CI กว้าง) และ ความเสี่ยงของการมีอคติเล็กน้อย (การปกปิดผู้เข้าร่วม/บุคลากร)

หลักฐานที่มีความเชื่อมั่นสูงชี้ให้เห็นว่า รูปแบบการดูแลทางเลือกส่งผลให้ความเจ็บปวดลดลงเล็กน้อย แต่ไม่มีนัยสำคัญทางคลินิก ตามมาตรวัดคะแนน 0 ถึง 10 (ค่าเฉลี่ยความแตกต่าง -0.24, 95% CI -0.43 ถึง -0.05; I 2 = 68%; การทดลอง 36 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 9403 ราย) คะแนนความเจ็บปวดเฉลี่ย ณ จุดติดตามผลที่ใกล้ 12 เดือน คือ 2.4 คะแนน (จากมาตรวัดคะแนน 0 ถึง 10 โดยคะแนนต่ำหมายถึงเจ็บน้อยกว่า) สำหรับกลุ่มที่ได้รับการดูแลตามปกติ เทียบกับ 2.2 คะแนนสำหรับกลุ่มที่ใช้รูปแบบการดูแลทางเลือก คิดเป็นความแตกต่าง 0.2 คะแนน ซึ่งกลุ่มทางเลือกมีคะแนนดีกว่า (เจ็บน้อยกว่า) (95% CI คือ 0.0 ถึง 0.4 คะแนน) ทั้งนี้ ความแตกต่างน้อยที่สุดที่มีนัยสำคัญทางคลินิก (MCID) อยู่ที่ 0.5 ถึง 1.5 คะแนน

หลักฐานที่มีความเชื่อมั่นสูงบ่งชี้ว่ารูปแบบการดูแลทางเลือกส่งผลให้การทำงานที่เกี่ยวข้องกับหลังดีขึ้นเล็กน้อยและไม่สำคัญทางคลินิกเมื่อเทียบกับการดูแลตามปกติ (ค่าความแตกต่างเฉลี่ยมาตรฐานคือ -0.12, 95% CI -0.20 ถึง -0.04; I 2 = 66%; 44 การทดลอง ผู้เข้าร่วม 13,688 ราย) ค่าเฉลี่ยของคะแนนสมรรถภาพการทำงานของหลังเมื่อติดตามผลในระยะที่ใกล้เคียงกับ 12 เดือนมากที่สุด คือ 6.4 คะแนนจากมาตราส่วนการให้คะแนน 0 ถึง 24 (คะแนนต่ำกว่าบ่งชี้ความบกพร่องน้อยกว่า) ในกลุ่มการดูแลปกติ เมื่อเทียบกับ 5.7 คะแนนจากกลุ่มการดูแลทางเลือก ซึ่งมีความแตกต่างดีขึ้น 0.7 คะแนน (95% CI ดีขึ้น 1.2 ถึง 0.2; MCID 1.5 ถึง 2.5 คะแนน)

เราไม่แน่ใจเกี่ยวกับผลกระทบของรูปแบบการดูแลทางเลือกต่อเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์เมื่อเปรียบเทียบกับการดูแลตามปกติ เนื่องจากความเชื่อมั่นของหลักฐานอยู่ในระดับต่ำมาก (OR 0.81, 95% CI 0.45 ถึง 1.45; I 2 = 43%; การทดลอง 10 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 2880 คน) เราลดระดับความเชื่อมั่นของหลักฐานลง 3 ระดับเนื่องจากความเสี่ยงของการมีอคติร้ายแรง (การปกปิดผู้เข้าร่วม/บุคลากร) ความไม่ตรงอย่างร้ายแรง (ความแตกต่างในความเสี่ยงที่สันนิษฐาน) และความไม่สอดคล้องกันอย่างร้ายแรง (ความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างการศึกษา)

ข้อสรุปของผู้วิจัย

เมื่อเปรียบเทียบกับการดูแลตามปกติ รูปแบบการดูแลทางเลือกสำหรับอาการปวดหลังส่วนล่างแบบไม่จำเพาะ น่าจะส่งผลให้เกิดความแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือไม่แตกต่างกันในด้านคุณภาพการดูแล และส่งผลให้อาการปวดและการทำงานของหลังดีขึ้นเล็กน้อยแต่ไม่มีนัยสำคัญทางคลินิก ประเด็นที่ว่ารูปแบบการดูแลทางเลือกส่งผลให้เกิดความแตกต่างในเรื่องจำนวนรวมของเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์เมื่อเทียบกับการดูแลตามปกติหรือไม่นั้น ยังคงไม่มีข้อยุติ

บันทึกการแปล

แปลโดย ศ.นพ.ภิเศก ลุมพิกานนท์ ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 29 มีนาคม 2025

การอ้างอิง
Docking S, Sridhar S, Haas R, Mao K, Ramsay H, Buchbinder R, O'Connor D. Models of care for managing non-specific low back pain. Cochrane Database of Systematic Reviews 2025, Issue 3. Art. No.: CD015083. DOI: 10.1002/14651858.CD015083.pub2.

การใช้คุกกี้ของเรา

เราใช้คุกกี้ที่จำเป็นเพื่อให้เว็บไซต์ของเรามีประสิทธิภาพ เรายังต้องการตั้งค่าการวิเคราะห์คุกกี้เพิ่มเติมเพื่อช่วยเราปรับปรุงเว็บไซต์ เราจะไม่ตั้งค่าคุกกี้เสริมเว้นแต่คุณจะเปิดใช้งาน การใช้เครื่องมือนี้จะตั้งค่าคุกกี้บนอุปกรณ์ของคุณเพื่อจดจำการตั้งค่าของคุณ คุณสามารถเปลี่ยนการตั้งค่าคุกกี้ได้ตลอดเวลาโดยคลิกที่ลิงก์ 'การตั้งค่าคุกกี้' ที่ส่วนท้ายของทุกหน้า
สำหรับข้อมูลโดยละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุกกี้ที่เราใช้ โปรดดู หน้าคุกกี้

ยอมรับทั้งหมด
กำหนดค่า