ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

การเปรียบเทียบการรักษาผิวหนังสำหรับโรคผิวหนังอักเสบ

ใจความสำคัญ

° คอร์ติโคสเตียรอยด์ที่มีฤทธิ์แรง สารยับยั้งจานัสไคเนส และ tacrolimus 0.1% (ซึ่งเป็นยาที่กดภูมิคุ้มกันทั้งหมด) มีประสิทธิผลอย่างต่อเนื่องในการลดอาการและอาการแสดงของโรคผิวหนังอักเสบ

° ผลข้างเคียง เช่น ความรู้สึกแสบร้อนผิวหนัง มีแนวโน้มเกิดขึ้นมากกว่าในผู้ป่วยที่ทายา tacrolimus, pimecrolimus and crisaborole และมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยกว่าในผู้ป่วยที่ใช้คอร์ติโคสเตียรอยด์ ส่วนผลข้างเคียงอื่นๆ เช่น ผิวหนังบางลง มีแนวโน้มเกิดขึ้นได้เฉพาะเมื่อใช้คอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดแรงเป็นเวลานานเท่านั้น

° เมื่อพิจารณาจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับประสิทธิผลและความปลอดภัยในระยะยาว ควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ เช่น มียานั้นอยู่ในสถานบริการหรือไม่ ต้นทุน และลำดับความสำคัญ

เราต้องการทราบอะไร

โรคผิวหนังอักเสบ (atopic dermatitis) เป็นโรคผิวหนังอักเสบที่พบบ่อยและไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เราเปรียบเทียบการรักษาด้วยยาต้านการอักเสบแบบทาที่ผิวหนังเฉพาะที่ต่างๆ ที่ใช้เพื่อลดอาการของโรคผิวหนังอักเสบ เราต้องการค้นหายาต้านการอักเสบเฉพาะที่ที่มีประสิทธิผลมากที่สุดและปลอดภัยที่สุดสำหรับผู้ที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบ

เราทำอะไรไปแล้วบ้าง

เราได้รวมการทดลองแบบสุ่มสำหรับผู้ที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบทุกวัยและทุกระดับความรุนแรง ต้องใช้การรักษาเฉพาะที่อย่างน้อย 1 สัปดาห์และต้องเปรียบเทียบกับการรักษาด้วยยาต้านการอักเสบอื่นๆ หรือไม่ใช้ยาอะไรเลย เราไม่รวมการทดลองเกี่ยวกับโรคผิวหนังอักเสบจากการสัมผัสหรือโรคภูมิแพ้ที่มือ และไม่รวมการทดลองเกี่ยวกับยาปฏิชีวนะ การบำบัดเสริม การให้ความชุ่มชื้นเพียงอย่างเดียว การบำบัดด้วยแสง การพันด้วยผ้าเปียก หรือการรักษาที่รับประทานในรูปแบบยาเม็ด ยาน้ำ หรือยาฉีด

เราได้พิจารณาหลักฐานประสิทธิผลประเภทต่างๆ ได้แก่ อาการของโรคผิวหนังอักเสบที่ผู้ป่วยรายงาน อาการแสดงของโรคผิวหนังอักเสบที่แพทย์รายงาน และผลข้างเคียง การวิเคราะห์ของเราปฏิบัติตามขั้นตอนมาตรฐานของ Cochrane และเราใช้เครื่องมือที่เรียกว่า CiNEMA เพื่อประเมินความเชื่อมั่นของเราในหลักฐาน

เราค้นพบอะไร

เราได้วิเคราะห์การศึกษาจำนวน 291 ฉบับ ที่เกี่ยวข้องกับผู้คนจำนวน 45,846 คนที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบที่มีความรุนแรงต่างกัน การศึกษาส่วนใหญ่เกิดขึ้นในประเทศที่ร่ำรวยและเน้นผู้เข้าร่วมเป็นกลุ่มผู้ใหญ่ มีเพียงการศึกษา 31 ฉบับ ที่มุ่งเน้นไปที่เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี การศึกษาประเมินการรักษา เช่น ครีมคอร์ติโคสเตียรอยด์และสารยับยั้งแคลซินิวริน การศึกษาใช้เวลาตั้งแต่ 7 วันถึง 5 ปี และการศึกษาส่วนใหญ่ได้รับทุนสนับสนุนจากบริษัทที่ผลิตยาต้านการอักเสบสำหรับโรคผิวหนังอักเสบ

คอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดแรง สารยับยั้งเอนไซม์จานัสไคเนส เช่น ruxolitinib 1.5% และ tacrolimus 0.1% มีประสิทธิผลอย่างต่อเนื่องในการลดอาการและอาการแสดงของโรคผิวหนังอักเสบ สารยับยั้ง PDE-4 เช่น crisaborole 2% ถือเป็นสารที่มีประสิทธิผลน้อยที่สุด ผลข้างเคียง เช่น ความรู้สึกแสบร้อนผิว มีแนวโน้มเกิดขึ้นมากกว่าในผู้ป่วยที่ใช้ยา tacrolimus pimecrolimus และ crisaborole และมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยกว่าในผู้ป่วยที่ใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ ไม่มีหลักฐานของผิวหนังที่บางลงจากการใช้การรักษาใดๆ ในระยะสั้น (16 สัปดาห์หรือน้อยกว่า) รวมถึงการใช้คอร์ติโคสเตียรอยด์ที่มีฤทธิ์แรงวันละครั้งหรือสองครั้ง เราพบว่าการใช้คอร์ติโคสเตียรอยด์ในระยะยาว (นานกว่า 16 สัปดาห์) อาจทำให้ผิวบางลงได้ อาการผิวหนังบางลงเกิดขึ้นในประมาณ 1 ใน 300 คนที่ใช้คอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดอ่อน ปานกลาง หรือแรงเป็นเวลา 6 เดือนถึง 5 ปี

ความเชื่อมั่นของเรามีต่อหลักฐานแตกต่างกันไปตามประเภทการประเมินและการรักษาที่แตกต่างกัน นั่นขึ้นอยู่กับหลายๆ อย่าง เช่น ขนาดและจำนวนการทดลองของการรักษาที่แตกต่างกัน ความแตกต่างของผลลัพธ์ระหว่างการทดลองแต่ละครั้ง และว่าเราตัดสินว่าผลลัพธ์ได้รับการรายงานอย่างยุติธรรมหรือไม่

ข้อจำกัดของหลักฐานคืออะไร

ไม่มีข้อมูลเพียงพอเกี่ยวกับประสิทธิผลและความปลอดภัยในระยะยาวของการรักษาด้วยยาต้านการอักเสบเฉพาะที่ การทบทวนวรรณกรรมนี้ควรใช้เป็นแนวทางในการรักษาต่างๆ ที่ได้ผลดีที่สุดและปลอดภัยที่สุดสำหรับการควบคุมอาการในระยะสั้นสำหรับคนส่วนใหญ่ที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบ ความพร้อมใช้ของผลิตภัณฑ์ในแต่ละสถานที่ ต้นทุน และลำดับความสำคัญของแต่ละบุคคลนั้นแตกต่างกันไป ดังนั้นจึงไม่มีวิธีการรักษาแบบเดียวที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน

หลักฐานนี้เป็นปัจจุบันแค่ไหน

หลักฐานมีข้อมูลล่าสุดจนถึงเดือนมิถุนายน 2023

บทนำ

โรคผิวหนังอักเสบ (atopic dermatitis) เป็นโรคผิวหนังที่สร้างปัญหาให้กับร่างกายมากที่สุดทั่วโลก และปัจจุบันยังไม่สามารถป้องกันหรือรักษาให้หายขาดได้ การรักษาด้วยยาต้านการอักเสบเฉพาะที่ใช้เพื่อควบคุมอาการของโรคผิวหนังอักเสบ แต่ยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับประสิทธิผลและความปลอดภัยของการรักษาด้วยยาต้านการอักเสบเฉพาะที่ชนิดต่างๆ

วัตถุประสงค์

เพื่อเปรียบเทียบและจัดอันดับประสิทธิผลและความปลอดภัยของการรักษาด้วยยาต้านการอักเสบเฉพาะที่สำหรับผู้ป่วยโรคผิวหนังอักเสบโดยใช้การวิเคราะห์แบบ network meta-analysis

วิธีการสืบค้น

เราได้ค้นหาข้อมูลจาก Cochrane Skin Specialised Register, CENTRAL, MEDLINE, Embase และทะเบียนการทดลองเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2023 และตรวจสอบรายการอ้างอิงของการศึกษาที่ได้รวบรวมมา

เกณฑ์การคัดเลือก

เราได้รวมการทดลองแบบสุ่มที่มีการควบคุม (randomised controlled trials; RCT) แบบภายในผู้เข้าร่วมหรือระหว่างผู้เข้าร่วมในผู้คนทุกวัยที่มีโรคผิวหนังอักเสบในระดับความรุนแรงใดๆ ก็ตาม แต่ไม่รวมการทดลองในโรคผิวหนังอักเสบติดเชื้อ โรคผื่นแพ้ต่อมไขมัน โรคผิวหนังอักเสบที่เกิดจากการแพ้สัมผัส หรือโรคผิวหนังอักเสบที่มือ เราได้รวบรวมการรักษาด้วยยาต้านการอักเสบเฉพาะที่ที่ใช้เป็นเวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์ เมื่อเปรียบเทียบกับการรักษาด้วยยาต้านการอักเสบอื่น การไม่ได้รับการรักษา หรือตัวพา/ยาหลอก ตัวพาเป็น 'ระบบพาหะ' สำหรับสารเภสัชกรรมที่ออกฤทธิ์ ซึ่งอาจใช้เป็นสารเพิ่มความชุ่มชื้นสำหรับผิวแห้งได้ด้วย เราไม่รวมการทดลองที่ใช้ยาปฏิชีวนะเฉพาะที่ที่ใช้เพียงอย่างเดียว การรักษาเสริม การใช้สารเพิ่มความชุ่มชื้นเพียงอย่างเดียว การบำบัดด้วยแสง การพันตัวแบบเปียก และการรักษาที่มีผลทั่วร่าง

การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล

เราใช้วิธีตามมาตรฐานของ Cochrane ผลลัพธ์หลักคืออาการของโรคผิวหนังอักเสบที่ผู้ป่วยรายงาน อาการแสดงของโรคผิวหนังอักเสบที่แพทย์รายงาน และการประเมินโดยรวมของผู้ตรวจสอบ ผลลัพธ์รอง ได้แก่ คุณภาพชีวิตที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ การควบคุมโรคผิวหนังอักเสบในระยะยาว การถอนตัวจากการรักษา/การศึกษา และผลข้างเคียงในบริเวณที่ใช้ (ปฏิกิริยาที่บริเวณที่ใช้ การเปลี่ยนแปลงของเม็ดสี และการบางลง/การฝ่อของผิวหนัง ซึ่งได้รับการระบุว่าเป็นปัญหาสำคัญของผู้ป่วยและประชาชนทั่วไป) เราใช้ CINeMA เพื่อวัดความเชื่อมั่นในหลักฐานสำหรับผลลัพธ์แต่ละอย่าง

ผลการวิจัย

เราได้รวบรวมการศึกษาทั้งหมด 291 ฉบับ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 45,846 คน ซึ่งมีอาการของโรคผิวหนังอักเสบทุกระดับความรุนแรงโดยดำเนินการในประเทศที่มีรายได้สูงในสถานพยาบาลขั้นทุติยภูมิเป็นส่วนใหญ่ การศึกษาส่วนใหญ่ศึกษาในผู้ใหญ่ โดยมีการศึกษาเพียง 31 ฉบับ ที่ศึกษาเฉพาะเด็กอายุน้อยกว่า 12 ปี การศึกษานี้โดยทั่วไปมีผู้เข้าร่วมทั้งชายและหญิง หลายกลุ่มชาติพันธุ์ แต่ส่วนใหญ่เป็นประชากรผิวขาว การศึกษาส่วนใหญ่ได้รับทุนจากภาคอุตสาหกรรม (68%) หรือไม่มีการรายงานแหล่งที่มา/รายละเอียดเงินทุน ระยะเวลาการรักษาและการเข้าร่วมการทดลองมีค่ามัธยฐาน 21 และ 28 วัน (ตั้งแต่ 7 วันถึง 5 ปี) ตามลำดับ วิธีการรักษาที่ใช้ ได้แก่ คอร์ติโคสเตียรอยด์ทาเฉพาะที่ (TCS) (172), สารยับยั้งแคลซินิวรินทาเฉพาะที่ (TCI) (134), สารยับยั้งฟอสโฟไดเอสเทอเรส-4 (PDE-4) (55), สารยับยั้งจานัสไคเนส (JAK) (30), สารกระตุ้นตัวรับไฮโดรคาร์บอน (10) หรือยาทาเฉพาะที่อื่นๆ (21) ตัวเปรียบเทียบรวมถึงตัวพา (170) หรือการรักษาด้วยยาต้านการอักเสบชนิดอื่น ความเสี่ยงของการมีอคติสูงในการศึกษา 242 ฉบับ จาก 272 ฉบับ (89.0%) ที่ให้ข้อมูลในการวิเคราะห์ การศึกษาส่วนใหญ่มีข้อกังวลเกี่ยวกับการเลือกรายงานข้อมูล การวิเคราะห์แบบ network meta-analysis (NMA) สามารถทำได้สำหรับผลลัพธ์ในระยะสั้นเท่านั้น

อาการที่ผู้ป่วยรายงาน

การวิเคราะห์แบบ network meta-analysis จากการทดลอง 40 ฉบับ (ผู้เข้าร่วม 6482 คน) ที่รายงานอาการที่ผู้ป่วยรายงานเป็นผลลัพธ์ แบบ binary จัดอันดับ tacrolimus 0.1% (OR 6.27, 95% CI 1.19 ถึง 32.98), ยาคอร์ติโคสเตียเรียด์เฉพาะที่ชนิดแรง (OR 5.99, 95% CI 2.83 ถึง 12.69) และ ruxolitinib 1.5% (OR 5.64, 95% CI 1.26 ถึง 25.25) ว่ามีประสิทธิผลสูงสุด โดยทั้งหมดมีความเชื่อมั่นต่ำ ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่ชนิดอ่อน flumilast 0.15% และ crisaborole 2% มีประสิทธิผลน้อยที่สุด การวิเคราะห์ความไวใน class-level พบว่ายาคอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่ชนิดแรงหรือชนิดแรงมากมีประสิทธิผลคล้ายคลึงกับสารยับยั้งแคลซินิวรินทาเฉพาะที่ชนิดแรง และมีประสิทธิภาพมากกว่าสารยับยั้งแคลซินิวรินทาเฉพาะที่ชนิดอ่อนและสารยับยั้ง PDE-4

การวิเคราะห์แบบ NMA ของการทดลอง 29 ฉบับ (ผู้เข้าร่วม 3839 ราย) ที่รายงานอาการที่ผู้ป่วยรายงานเป็นผลลัพธ์ ต่อเนื่อง จัดให้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่ชนิดแรงมาก (SMD -1.99, 95% CI -3.25 ถึง -0.73; ความเชื่อมั่นต่ำ) และ tacrolimus 0.03% (SMD -1.57, 95% CI –2.42 ถึง -0.72; ความเชื่อมั่นปานกลาง) อยู่ในระดับสูงสุด ข้อมูลโดยตรงสำหรับ tacrolimus 0.03% อ้างอิงจากการทดลอง 1 ฉบับ ซึ่งมีผู้เข้าร่วม 60 รายที่มีความเสี่ยงสูงต่อการมีอคติ ในส่วนของ roflumilast 0.15%, delgocitinib 0.25% หรือ 0.5% และ tapinarof 1% มีประสิทธิผลน้อยที่สุด การวิเคราะห์ความไวจาก class-level พบว่ายาคอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่ชนิดแรงหรือชนิดแรงมากมีประสิทธิผลคล้ายคลึงกับสารยับยั้งแคลซินิวรินทาเฉพาะที่ชนิดแรง และสารยับยั้งจานัสไคเนส และยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่ชนิดอ่อนและชนิดแรงปานกลางมีประสิทธิภาพน้อยกว่าสารยับยั้งแคลซินิวรินทาเฉพาะที่ชนิดอ่อน

การทดลองเพิ่มเติมอีก 50 ฉบับ (ผู้เข้าร่วม 9636 ราย) รายงานอาการที่ผู้ป่วยรายงานเป็นผลลัพธ์ที่ต่อเนื่อง แต่ไม่สามารถรวมอยู่ในการวิเคราะห์แบบ NMA ได้

อาการแสดงที่แพทย์รายงาน

การวิเคราะห์แบบ NMA ของการทดลอง 32 ฉบับ (ผู้เข้าร่วม 4121 ราย) รายงานอาการแสดงของแพทย์เป็นผลลัพธ์ แบบ binary และจัดอันดับยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่ชนิดแรง (OR 8.15, 95% CI 4.99, 13.57), tacrolimus 0.1% (OR 8.06, 95% CI 3.30, 19.67), ruxolitinib 1.5% (OR 7.72, 95% CI 4.92, 12.10) และ delgocitinib 0.5% (OR 7.61, 95% CI 3.72, 15.58) ว่ามีประสิทธิผลมากที่สุด โดยทั้งหมดมีความเชื่อมั่นปานกลาง ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่ชนิดอ่อน, roflumilast 0.15%, crisaborole 2% และ tapinarof 1% มีประสิทธิผลน้อยที่สุด การวิเคราะห์ความไวจาก class-level พบว่ายาคอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่ชนิดแรงหรือชนิดแรงมากมีประสิทธิผลมากกว่าสารยับยั้งแคลซินิวรินทาเฉพาะที่ชนิดแรง สารยับยั้งแคลซินิวรินทาเฉพาะที่ชนิดอ่อน สารยับยั้งจานัสไคเนส สารยับยั้ง PDE-4 และยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่ชนิดอ่อนและสารยับยั้ง PDE-4 มีประสิทธิผลคล้ายคลึงกัน

การวิเคราะห์แบบ NMA ของการทดลอง 49 ฉบับ (ผู้เข้าร่วม 5261 ราย) รายงานอาการแสดงของแพทย์เป็นผลลัพธ์ แบบข้อมูลต่อเนื่อง และจัดอันดับให้ tacrolimus 0.03% (SMD -2.69, 95% CI -3.36, -2.02) และยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่ชนิดแรงมาก (SMD -1.87, 95% CI -2.69, -1.05) เป็นยาที่มีประสิทธิผลมากที่สุด โดยทั้งสองรายการมีความเชื่อมั่นปานกลาง ส่วน roflumilast 0.15%, difamilast 0.3% และ tapinarof 1% ได้รับการจัดอันดับเป็นยาที่มีประสิทธิผลน้อยที่สุด ข้อมูลโดยตรงสำหรับ tacrolimus 0.03% อ้างอิงจากการทดลอง 1 ฉบับ ซึ่งมีผู้เข้าร่วม 60 ราย ที่มีความเสี่ยงของการมีอคติสูง สำหรับการวิเคราะห์ความไวบางรายการ ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่ชนิดแรง tacrolimus 0.1% ruxolitinib 1.5% delgocitinib 0.5% และ delgocitinib 0.25% กลายเป็นการรักษาที่มีประสิทธิผลมากที่สุด การวิเคราะห์ความไวใน class-level พบว่ายาคอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่ชนิดแรงและชนิดแรงมากมีประสิทธิผลคล้ายคลึงกับสารยับยั้งแคลซินิวรินทาเฉพาะที่ชนิดแรง และสารยับยั้งจานัสไคเนส และยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่ชนิดอ่อนและชนิดแรงปานกลางมีประสิทธิภาพมากกว่าสารยับยั้งแคลซินิวรินทาเฉพาะที่ชนิดอ่อน

การทดลองเพิ่มเติมอีก 100 ฉบับ (ผู้เข้าร่วม 22,814 ราย) รายงานอาการแสดงของแพทย์เป็นผลลัพธ์ แบบข้อมูลต่อเนื่อง แต่ไม่สามารถรวมอยู่ในการวิเคราะห์แบบ NMA ได้

Investigator Global Assessment

การวิเคราะห์แบบ NMA ของการทดลอง 140 ฉบับ (ผู้เข้าร่วม 23,383 ราย) รายงานการประเมินโดยรวมของผู้ตรวจสอบเป็นผลลัพธ์แบบ binary และจัดอันดับ ruxolitinib 1.5% (OR 9.34, 95% CI 4.8, 18.18), delgocitinib 0.5% (OR 10.08, 95% CI 2.65, 38.37), delgocitinib 0.25% (OR 6.87, 95% CI 1.79, 26.33), ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่ชนิดแรงมาก (OR 8.34, 95% CI 4.73, 14.67), ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่ชนิดแรง (OR 5.00, 95% CI 3.80, 6.58) และ tacrolimus 0.1% (OR 5.06, 95% CI 3.59, 7.13) ว่ามีประสิทธิผลมากที่สุด ทั้งหมดมีความเชื่อมั่นปานกลาง ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่ชนิดอ่อน crisaborole 2% pimecrolimus 1% roflumilast 0.15% difamilast 0.3% และ 1% และ tacrolimus 0.03% มีประสิทธิผลน้อยที่สุด จากการวิเคราะห์ความไวของข้อมูลที่มีความเสี่ยงของการมีอคติต่ำ (การทดลอง 12 ฉบับ ผู้เข้าร่วม 1639 ราย) พบว่ายาคอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่ชนิดแรง delgocitinib 0.5% และ delgocitinib 0.25% มีประสิทธิผลสูงสุด และ pimecrolimus 1% roflumilast 0.15% difamilast 1% และ difamilast 0.3% มีประสิทธิผลน้อยที่สุด การวิเคราะห์ความไวใน class-level พบว่ายาคอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่ชนิดแรงหรือชนิดแรงมากมีประสิทธิผลคล้ายคลึงกับสารยับยั้งแคลซินิวรินทาเฉพาะที่ชนิดแรง และสารยับยั้งจานัสไคเนส และมีประสิทธิผลน้อยกว่าสารยับยั้ง PDE-4 ส่วนยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่ชนิดอ่อนและชนิดแรงปานกลางมีประสิทธิภาพน้อยกว่าสารยับยั้งแคลซินิวรินทาเฉพาะที่ชนิดแรง และมีประสิทธิผลคล้ายคลึงกับสารยับยั้งแคลซินิวรินทาเฉพาะที่ชนิดอ่อน

ผลลัพธ์ในระยะยาวในช่วง 6 ถึง 12 เดือนแสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของประสิทธิผลที่เป็นไปได้ของ pimecrolimus 1% เมื่อเทียบกับตัวพา (การทดลอง 4 ฉบับ ผู้เข้าร่วม 2218 ราย) ในการวิเคราะห์ pairwise meta-analysis พบว่าความสำเร็จของการรักษาด้วยยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่ระดับอ่อน/ปานกลางมากกว่าการรักษาด้วย pimecrolimus 1% (จากการทดลอง 1 ฉบับ โดยมีผู้เข้าร่วม 2045 ราย)

ผลข้างเคียงเฉพาะที่

การวิเคราะห์ NMA ของการทดลอง 83 ฉบับ (ผู้เข้าร่วม 18,992 ราย เหตุการณ์ 2424 รายการ) ที่รายงาน ปฏิกิริยาที่บริเวณที่ใช้ จัดอันดับ tacrolimus 0.1% (OR 2.2, 95% CI 1.53, 3.17; ความเชื่อมั่นปานกลาง), crisaborole 2% (OR 2.12, 95% CI 1.18, 3.81; ความเชื่อมั่นสูง), tacrolimus 0.03% (OR 1.51, 95%CI 1.10, 2.09; ความเชื่อมั่นต่ำ) และ pimecrolimus 1% (OR 1.44, 95% CI 1.01, 2.04; ความเชื่อมั่นต่ำ) เป็นสารที่มีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดปฏิกิริยาที่บริเวณที่ใช้มากที่สุด ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่ชนิดแรงมาก ชนิดแรง ชนิดแรงปานกลาง และชนิดอ่อน มีแนวโน้มน้อยที่สุดที่จะทำให้เกิดปฏิกิริยาที่บริเวณที่ทา

การวิเคราะห์แบบ NMA ของการทดลอง 8 ฉบับ (ผู้เข้าร่วม 1786 ราย, 3 เหตุการณ์) ที่รายงาน การเปลี่ยนแปลงของเม็ดสี พบว่าไม่มีหลักฐานของการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสีที่เพิ่มขึ้นด้วยยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่และ crisaborole 2% โดยมีความเชื่อมั่นต่ำสำหรับยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่ชนิดอ่อน ชนิดแรงปานกลาง หรือชนิดแรง และมีความเชื่อมั่นปานกลางสำหรับ crisaborole 2%

การวิเคราะห์แบบ NMA ของการทดลอง 25 ฉบับ (ผู้เข้าร่วม 3691 ราย, 36 เหตุการณ์) ที่รายงานเรื่อง ผิวหนังบางลง ไม่พบหลักฐานของการบางลงของผิวหนังเพิ่มขึ้นในระยะสั้น (ค่ามัธยฐาน 3 สัปดาห์ ค่าพิสัย 1-16 สัปดาห์) จากการใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่ระดับอ่อน (OR 0.72, 95% CI 0.12, 4.31), ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่ชนิดปานกลาง (OR 0.91, 95% CI 0.16, 5.33), ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่ชนิดแรง (OR 0.96, 95% CI 0.21, 4.43) หรือยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่ชนิดแรงมาก (OR 0.88, 95% CI 0.31, 2.49) โดยทั้งหมดมีความเชื่อมั่นต่ำ ผลลัพธ์ในระยะยาวมากกว่า 6 ถึง 60 เดือน แสดงให้เห็นว่าผิวหนังบางลงมากขึ้นด้วยยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่ชนิดอ่อนถึงชนิดแรงเมื่อเทียบกับสารยับยั้งแคลซินิวรินทาเฉพาะที่ (การทดลอง 3 ฉบับ ผู้เข้าร่วม 4069 คน มี 6 เหตุการณ์ที่มียาคอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่)

ข้อสรุปของผู้วิจัย

ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่ชนิดแรง สารยับยั้งจานัสไคเนส และ tacrolimus 0.1% มักถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในยาต้านการอักเสบเฉพาะที่ที่มีประสิทธิผลมากที่สุดในการรักษาโรคผิวหนังอักเสบ และสารยับยั้ง PDE-4 มักถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในยาที่มีประสิทธิผลน้อยที่สุด ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่ชนิดอ่อนและ tapinarof 1% ถูกจัดอันดับให้อยู่ในกลุ่มการรักษาที่มีประสิทธิผลน้อยที่สุดในเครือข่ายประสิทธิผล 3 ใน 5 เครือข่าย สารยับยั้งแคลซินิวรินทาเฉพาะที่และ crisaborole 2% ได้รับการจัดอันดับว่ามีแนวโน้มทำให้เกิดปฏิกิริยาในบริเวณที่ใช้มากที่สุด และยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่มีโอกาสทำให้เกิดน้อยที่สุด เราไม่พบหลักฐานของการที่ผิวหนังบางลงมากขึ้นจากการใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่ระยะสั้น แต่มีการเพิ่มขึ้นจากการใช้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่ในระยะยาว

บันทึกการแปล

แปลโดย นศพ.พิมพ์มาดา เปี่ยมมงคลชัย คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล วันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ.2567

Citation
Lax SJ, Van Vogt E, Candy B, Steele L, Reynolds C, Stuart B, Parker R, Axon E, Roberts A, Doyle M, Chu DK, Futamura M, Santer M, Williams HC, Cro S, Drucker AM, Boyle RJ. Topical anti-inflammatory treatments for eczema: network meta-analysis. Cochrane Database of Systematic Reviews 2024, Issue 8. Art. No.: CD015064. DOI: 10.1002/14651858.CD015064.pub2.