วิตามินบี 12 เสริมระหว่างตั้งครรภ์

ใจความสำคัญ

– สตรีที่รับประทานวิตามินบี 12 เสริมในระหว่างตั้งครรภ์อาจมีสถานะวิตามินบี 12 ดีขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์หรือหลังคลอด รวมถึงการขาดวิตามินบี 12 น้อยลง และระดับวิตามินบี 12 สูงขึ้น เมื่อเทียบกับสตรีที่ไม่ได้รับประทานวิตามินบี 12 เสริม แต่หลักฐานมีความไม่แน่นอนอย่างมาก

– ไม่ทราบผลของการเสริมวิตามินบี 12 ในระหว่างตั้งครรภ์ต่อผลลัพธ์ด้านสุขภาพอื่นๆ ในผู้หญิงมีครรภ์หรือลูกๆ

ผลกระทบด้านสาธารณสุข

วิตามินบี 12 เป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยให้เลือดและเซลล์ประสาทของร่างกายแข็งแรง การขาดวิตามินบี 12 เป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่มีรายได้น้อยและปานกลาง โดยเป็นภาระสูงในผู้หญิงมีครรภ์และเด็ก ระดับวิตามินบี 12 ที่ลดลงในการตั้งครรภ์มีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่มากขึ้นของผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์จากการตั้งครรภ์ เช่น การแท้งบุตร การเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ไม่ดี ปัญหาเกี่ยวกับสมองหรือไขสันหลังของทารก (เรียกว่าข้อบกพร่องของท่อประสาท) และสถานะวิตามินบี 12 ที่ลดลงในทารก

การเสริมวิตามินบี 12 ในระหว่างตั้งครรภ์อาจช่วยปรับปรุงสุขภาพและโภชนาการของผูหญิงและทารกได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่ได้รับการตรวจสอบในการทบทวนวรรณกรรมที่ดำเนินการอย่างดี และวิตามินบี 12 ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของอาหารเสริมที่แนะนำโดยองค์การอนามัยโลก (WHO ซึ่งเป็นหน่วยงานเฉพาะทางของสหประชาชาติที่รับผิดชอบด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ) สำหรับผู้หญิงในระหว่างตั้งครรภ์

เราต้องการค้นหาอะไร

เราต้องการทราบว่าการเสริมวิตามินบี 12 ในระหว่างตั้งครรภ์จะช่วยให้สุขภาพและโภชนาการของผู้หญิงและทารกดีขึ้นหรือไม่

เราทำอะไร

เราค้นหาการทดลองทางคลินิกที่ดูการเสริมวิตามินบี 12 ในระหว่างตั้งครรภ์ เราเปรียบเทียบและสรุปผลลัพธ์ของการทดลองและจัดอันดับความเชื่อมั่นของเราในข้อมูลโดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น วิธีและขนาดของการทดลอง

เราพบอะไร

การทบทวนวรรณกรรมนี้รวม 5 การทดลอง ศึกษาในผู้หญิงตั้งครรภ์ 984 คน 3 การทดลอง ซึ่งรวมถึงสตรีตั้งครรภ์ 609 คน มีข้อมูลที่รวมอยู่ในการวิเคราะห์ ผู้หญิงที่รับประทานอาหารเสริมวิตามินบี 12 ในระหว่างตั้งครรภ์มีการขาดวิตามินบี 12 น้อยกว่าและมีระดับวิตามินบี 12 สูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับผู้หญิงที่ไม่ได้รับประทานอาหารเสริมวิตามินบี 12 แต่หลักฐานมีความไม่แน่นอนอย่างมาก ไม่มีความแตกต่างระหว่างกลุ่มสำหรับภาวะโลหิตจางของมารดา เราไม่สามารถประเมินผลของการเสริมวิตามินบี 12 ต่อผลลัพธ์อื่นๆ เช่น การแท้งบุตร ข้อบกพร่องของท่อประสาท และการรับรู้ของเด็ก (ความสามารถของเด็กในการรับความรู้ผ่านความคิด ความเข้าใจ และประสาทสัมผัส) เนื่องจากผลลัพธ์ที่มีอยู่จำกัดหรือไม่มีเลยสำหรับการวิเคราะห์

ข้อจำกัดของหลักฐานคืออะไร

จำนวนการทดลองน้อยและการทดลองขนาดเล็กถือเป็นข้อจำกัดในการทบทวนวรรณกรรมนี้ การทดลองบางเรื่องไม่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่เราสนใจ เราไม่เชื่อมั่นมากเกี่ยวกับผลลัพธ์

หลักฐานนี้เป็นปัจจุบันแค่ไหน

หลักฐานเป็นข้อมูลล่าสุดเดือนมิถุนายน 2023

ข้อสรุปของผู้วิจัย: 

การเสริมวิตามินบี 12 ทางปากในระหว่างตั้งครรภ์อาจลดความเสี่ยงของการขาดวิตามินบี 12 ของมารดา และอาจปรับปรุงความเข้มข้นของวิตามินบี 12 ของมารดาในระหว่างตั้งครรภ์หรือหลังคลอด เมื่อเทียบกับยาหลอกหรือการไม่ได้เสริมวิตามินบี 12 แต่หลักฐานมีความไม่แน่นอนอย่างมาก ผลของการเสริมวิตามินบี 12 ต่อผลลัพธ์หลักอื่นๆ ที่ประเมินในการทบทวนวรรณกรรมนี้ไม่ได้รับการรายงาน หรือไม่ได้รายงานในรูปแบบเพื่อรวมไว้ในการวิเคราะห์เชิงปริมาณ การเสริมวิตามินบี 12 ในระหว่างตั้งครรภ์อาจปรับปรุงสถานะวิตามินบี 12 ของมารดาและทารกได้ แต่ยังไม่พบผลที่อาจเกิดขึ้นต่อสุขภาพทางคลินิกและสุขภาพของแม่และเด็กในระยะยาว

อ่านบทคัดย่อฉบับเต็ม
บทนำ: 

การขาดวิตามินบี 12 เป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญทั่วโลก โดยเป็นปัญหาหนักที่สุดในผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ และเด็กเล็ก เนื่องจากมีบทบาทในการสังเคราะห์ DNA และ methylation, folate metabolism และการสร้างเม็ดเลือดแดง การเสริมวิตามินบี 12 ในระหว่างตั้งครรภ์อาจให้ประโยชน์ในระยะยาวต่อสุขภาพของแม่และเด็ก

วัตถุประสงค์: 

เพื่อประเมินประโยชน์และอันตรายของการเสริมวิตามินบี 12 แบบรับประทานในระหว่างตั้งครรภ์กับผลลัพธ์ด้านสุขภาพของแม่และเด็ก

วิธีการสืบค้น: 

เราสืบค้นใน Cochrane Pregnancy and Childbirth's Trials Register, ClinicalTrials.gov , World Health Organisation International Clinical Trials Registry Platform ( ICTRP ) เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2023 และรายการอ้างอิงของการศึกษาที่สืบค้นได้

เกณฑ์การคัดเลือก: 

การทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม (RCTs), quasi-RCTs หรือ cluster-RCTs ที่ประเมินผลของการเสริมวิตามินบี 12 แบบรับประทาน เปรียบเทียบกับยาหลอกหรือไม่มีการเสริมวิตามินบี 12 ในระหว่างตั้งครรภ์

การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล: 

เราใช้วิธีตามมาตรฐานของ Cochrane ผู้ประพันธ์การทบทวนวรรณกรรม 4 คนประเมินการเข้าเกณฑ์ของการทดลองโดยอิสระต่อกัน ผู้ประพันธ์การทบทวนวรรณกรรม 2 คนดึงข้อมูลจากการศึกษาที่นำเข้ามาอย่างอิสระต่อกัน และดำเนินการตรวจสอบความถูกต้อง ผู้ประพันธ์การทบทวนวรรณกรรม 3 คนประเมินความเสี่ยงของการมีอคติของการศึกษาที่นำเข้าอย่างเป็นอิสระต่อกันโดยใช้เครื่องมือ Cochrane RoB 1 เราใช้ GRADE เพื่อประเมินความเชื่อมั่นของหลักฐานสำหรับผลลัพธ์หลัก

ผลการวิจัย: 

การทบทวนวรรณกรรมนี้รวม 5 การทดลอง ที่ศึกษาในผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ 984 คน การทดลองทั้งหมดดำเนินการในประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง รวมถึงอินเดีย บังคลาเทศ แอฟริกาใต้ และโครเอเชีย ในการลงทะเบียน 26% ถึง 51% ของหญิงตั้งครรภ์มีภาวะขาดวิตามินบี 12 (น้อยกว่า 150 pmol/L) และความชุกของโรคโลหิตจาง (ฮีโมโกลบินน้อยกว่า 11.0 g/dL) อยู่ระหว่าง 30% ถึง 46% ปริมาณของการเสริมวิตามินบี 12 แตกต่างกันไปตั้งแต่ 5 ไมโครกรัม/วัน ถึง 250 ไมโครกรัม/วัน โดยเริ่มให้ยาตั้งแต่อายุครรภ์ 8 ถึง 28 สัปดาห์ จนถึงการคลอดหรือหลังคลอดสามเดือน และระยะเวลาของการเสริมวิตามินบี 12 อยู่ระหว่าง 8 ถึง 16 สัปดาห์ถึง 32 ถึง 38 สัปดาห์ 3 การทดลอง ศึกษาในผู้หญิงตั้งครรภ์ 609 ราย มีข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์ meta-analyses ของผลของการเสริมวิตามินบี 12 เทียบกับยาหลอกหรือการไม่เสริมวิตามินบี 12

ภาวะโลหิตจางของมารดา: อาจมีความแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยสำหรับภาวะโลหิตจางของมารดาตามกลุ่ม แต่หลักฐานมีความไม่เชื่อมั่นมาก (70.9% เทียบกับ 65.0%; อัตราส่วนความเสี่ยง (RR) 1.08, ช่วงความเชื่อมั่น 95% (CI) 0.93 ถึง 1.26; 2 การทดลอง ผู้หญิง 284 คน หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก)

สถานะวิตามินบี 12 ของมารดา: การเสริมวิตามินบี 12 ในระหว่างตั้งครรภ์อาจลดความเสี่ยงของการขาดวิตามินบี 12 ของมารดาเมื่อเทียบกับยาหลอกหรือไม่มีการเสริมวิตามินบี 12 แต่หลักฐานมีความไม่เชื่อมั่นมาก (25.9% เทียบกับ 67.9%; RR 0.38, 95% CI 0.28 ถึง 0.51; 2 การทดลอง ผู้หญิง 272 คน หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก) สตรีที่ได้รับการเสริมวิตามินบี 12 ในระหว่างตั้งครรภ์อาจมีความเข้มข้นของวิตามินบี 12 ทั้งหมดสูงกว่าเมื่อเทียบกับยาหลอกหรือไม่มีการเสริมวิตามินบี 12 (mean Difference (MD) 60.89 pmol/L, 95% CI 40.86 ถึง 80.92; 3 การทดลอง ผู้หญิง 412 คน) อย่างไรก็ตาม มีความแตกต่างกันอย่างมาก (I 2 = 85%)

ผลลัพธ์การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์: หลักฐานไม่เชื่อมั่นเกี่ยวกับผลต่อผลลัพธ์การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ รวมถึงการคลอดก่อนกำหนด (RR 0.97, 95% CI 0.55 ถึง 1.74; 2 การทดลอง ผู้หญิง 340 คน; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ) และน้ำหนักแรกเกิดน้อย (RR 1.50, 95% CI 0.93 ถึง 2.43; 2 การทดลอง ผู้หญิง 344 คน; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ) 2 การทดลองรายงานข้อมูลเกี่ยวกับการแท้งที่เกิดขึ้นเอง (หรือการแท้งบุตร); อย่างไรก็ตาม การทดลองไม่ได้รายงานข้อมูลเชิงปริมาณสำหรับการวิเคราะห์ meta-analysis และไม่มีคำจำกัดความที่ชัดเจนของการแท้งบุตรที่เกิดขึ้นเองในรายงานการศึกษา ไม่มีการทดลองที่ประเมินผลของการเสริมวิตามินบี 12 ในระหว่างตั้งครรภ์ต่อ neural tube defects

สถานะวิตามินบี 12 ในทารก: เด็กที่เกิดจากสตรีที่ได้รับการเสริมวิตามินบี 12 มีความเข้มข้นของวิตามินบี 12 โดยรวมสูงกว่าเมื่อเทียบกับยาหลอกหรือไม่มีการเสริมวิตามินบี 12 (MD 71.89 pmol/L, 95% CI 20.23 ถึง 123.54; 2 การทดลอง เด็ก 144 คน)

ผลลัพธ์ด้านการรับรู้ของเด็ก : การวิเคราะห์เสริม 3 รายการจาก 1 การทดลอง รายงานผลลัพธ์ด้านการรับรู้ของเด็ก อย่างไรก็ตาม ข้อมูลไม่ได้ถูกรายงานในรูปแบบที่สามารถรวมอยู่ในการวิเคราะห์ meta-analyses เชิงปริมาณได้ ใน 1 การศึกษา การเสริมวิตามินบี 12 ของมารดาไม่ได้ปรับปรุงสถานะการพัฒนาทางระบบประสาท (เช่น การรับรู้ ภาษา (การรับรู้และการแสดงออก) การเคลื่อนไหว (ละเอียดและหยาบ) ทางสังคม-อารมณ์ หรือขอบเขตการปรับตัว (แนวความคิด สังคม การปฏิบัติ) ในเด็กเมื่อเปรียบเทียบ ได้รับยาหลอก (9 เดือน, Bayley Scales of Infant and Toddler Development Third Edition (BSID-III); 1 การทดลอง; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ) หรือผลลัพธ์ทางประสาทสรีรวิทยา (72 เดือน, มาตรการที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้น; 1 การทดลอง; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ) แม้ว่าเด็กที่เกิดจากผู้หญิงที่ได้รับการเสริมวิตามินบี 12 มีขอบเขตทางภาษาที่ดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับยาหลอก (30 เดือน BSID-III; 1 การทดลอง; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ)

บันทึกการแปล: 

แปลโดย ศ.นพ.ภิเศก ลุมพิกานนท์ ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 10 กุมภาพันธ์ 2024

Tools
Information