แอสไพรินและยาที่คล้ายกันสำหรับการรักษาลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำส่วนลึก (DVT)

ข้อความสำคัญ

- เมื่อใช้หลังจากการรักษาเบื้องต้นตามมาตรฐานด้วยยาต้านการแข็งตัวของเลือด แอสไพริน และยาที่คล้ายกัน (ยาต้านเกล็ดเลือด) ให้ร่วมกับแนวทางปฏิบัติทางการแพทย์ที่ดีที่สุด (BMP) อาจลดการเกิดลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดดำซ้ำ (VTE) เช่น ลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำส่วนลึก (DVT) หรือเส้นเลือดอุดตันที่ปอด (PE) เมื่อเทียบกับ BMP บวกกับยาหลอกในภาวะ DVT เรื้อรัง ไม่มีความแตกต่างที่ชัดเจนในผลข้างเคียง เลือดออกมาก หรือ PE กับการใช้ยาต้านเกล็ดเลือด

- จำเป็นต้องมีการศึกษาที่มีคุณภาพของระเบียบวิธีวิจัยระดับสูงที่มีขนาดใหญ่และติดตามนานพอที่จะตรวจหาผลลัพธ์ทางคลินิกที่สำคัญเพื่อประเมินผลระยะยาวของยาต้านเกล็ดเลือด การศึกษาควรรวมผู้ที่มี DVT เฉียบพลันและเรื้อรัง และรวมข้อมูลเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่สำคัญ เช่น DVT, PE และเลือดออกมาก การใช้ตัวกรอง inferior vena cava (IVC) และอายุของผู้เข้าร่วม

DVT คืออะไร

DVT เป็นลิ่มเลือดที่เกิดขึ้นภายในระบบหลอดเลือดดำของร่างกายซึ่งขัดขวางการไหลเวียนของเลือด

DVT รักษาอย่างไร

หลังการรักษาด้วยยาต้านการแข็งตัวของเลือดในเบื้องต้น ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาต่อเนื่อง (เรียกว่า BMP) ซึ่งรวมถึงยาสำหรับป้องกันลิ่มเลือดอุดตันใหม่ ถุงน่องรัดกล้ามเนื้อ และการดูแลทางคลินิก (เช่น การออกกำลังกายและการให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง) ยาต้านเกล็ดเลือด เช่น แอสไพริน เป็นยาที่หยุดเซลล์ในเลือด (เกล็ดเลือด) จากการเกาะติดกันและก่อตัวเป็นก้อน ดังนั้นจึงถูกมองว่าเป็นอาจการรักษาเพิ่มเติมที่ให้ร่วมกับ BMP ปัจจุบันสำหรับการรักษา DVT ยาต้านเกล็ดเลือดสามารถใช้เพื่อลดภาวะแทรกซ้อน เช่น กลุ่มอาการหลังการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน (PTS ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ลิ่มเลือดในหลอดเลือดดำทำให้เกิดการทำงานบกพร่องในหลอดเลือดที่ได้รับผลกระทบ) และ PE (เมื่อลิ่มเลือดเดินทางผ่านกระแสเลือดไปยังปอดและ ขัดขวางการไหลของเลือด) ยาต้านเกล็ดเลือดอาจลดการกลับเป็นซ้ำของ DVT หรือ PE ข้อเสียเปรียบประการหนึ่งของการใช้ยาต้านเกล็ดเลือดคืออาจทำให้เลือดออกเพิ่มขึ้น

เราต้องการทราบอะไร

เราต้องการทราบว่าการให้ยาต้านเกล็ดเลือดแก่ผู้ที่รักษา DVT หลังการรักษาเบื้องต้น ลดจำนวน VTE ที่เกิดซ้ำ เลือดออกหรือ PE เมื่อเทียบกับผู้ที่ได้รับ BMP หรือ BMP ร่วมกับยาหลอกเท่านั้นหรือไม่ (การรักษาที่ดูเหมือนกันแต่ไม่มีผลทางการแพทย์) นอกจากนี้เรายังต้องการตรวจสอบว่ายาต้านเกล็ดเลือดช่วยลดการเสียชีวิตหรือไม่ ผู้คนพัฒนา PTS หรือไม่ มีผลข้างเคียงหรือไม่ คุณภาพชีวิตดีขึ้นหรือไม่ และมีการเปลี่ยนแปลงระยะเวลาในโรงพยาบาลหรือไม่

เราทำอะไร

เราค้นหาการศึกษาที่ประเมินยาต้านเกล็ดเลือดที่ให้เพื่อรักษา DVT การศึกษาควรมีการออกแบบแบบสุ่ม (เมื่อผู้เข้าร่วมได้รับการจัดสรรแบบสุ่มไปยังกลุ่มการรักษา) ตราบเท่าที่พวกเขาเปรียบเทียบยาต้านเกล็ดเลือดร่วมกับ BMP กับ BMP เพียงอย่างเดียวหรือ BMP กับยาหลอก การรักษาเหล่านี้เริ่มต้นขึ้นหลังจากการให้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดมาตรฐานเบื้องต้นสำหรับ DVT เรารวมผลลัพธ์ตามความเหมาะสม

เราพบอะไร

ผลลัพธ์ได้จากการศึกษาหกเรื่องที่มีผู้เข้าร่วม 1625 คนจากสหรัฐอเมริกา แคนาดา ยุโรป อินเดีย อาร์เจนตินา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ มีการศึกษาในผู้เข้าร่วมกลุ่มใหญ่สองกลุ่ม: ผู้เข้าร่วมที่มีภาวะ DVT เฉียบพลัน (การรักษาเริ่มขึ้นภายใน 21 วันหลังจากมีอาการ) และผู้เข้าร่วมที่มี DVT เรื้อรัง (การรักษาเริ่มต้นหลังจากมีอาการไป 21 วันแล้ว) การศึกษาทั้งหมดใช้ BMP เพื่อเปรียบเทียบ หรือ BMP บวกกับยาหลอก การเปรียบเทียบแต่ละครั้งตรวจสอบผลของยาต้านเกล็ดเลือดต่อการกลับเป็นซ้ำของ DVT, PE, การเสียชีวิตและผลข้างเคียง

เรามีความมั่นใจที่จำกัดว่ายาต้านเกล็ดเลือดให้เพิ่มเติมจาก BMP อาจมีผลต่อการลดความเสี่ยงของการเกิด VTE ครั้งใหม่เมื่อเปรียบเทียบกับ BMP กับยาหลอกในภาวะ DVT เรื้อรัง จำเป็นต้องให้การรักษาผู้ป่วย 14 รายเพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ VTE 1 เหตุการณ์ เมื่อศึกษาเพียง PE เท่านั้น ยาต้านเกล็ดเลือดไม่พบความแตกต่างระหว่างกลุ่ม การใช้ยาต้านเกล็ดเลือดเป็นการรักษาเพิ่มเติมดูเหมือนจะไม่เพิ่มอันตรายหรือความเสี่ยงใดๆ เช่น การเสียชีวิต เลือดออก หรือผลข้างเคียงอื่นๆ

แม้ว่าความเชื่อมั่นของเราในหลักฐานจะมีจำกัด แต่ผู้ที่ได้รับยาต้านเกล็ดเลือดอาจมีอัตราการเกิด VTE ซ้ำที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้รับยาต้านเกล็ดเลือดในภาวะ DVT เรื้อรัง ในทำนองเดียวกัน แม้ว่าความเชื่อมั่นของเราในหลักฐานจะมีจำกัดมาก แต่ผู้ที่ได้รับยาต้านเกล็ดเลือดอาจมีอัตราที่ต่ำกว่าของ PTS และผลข้างเคียงที่เพิ่มขึ้นในกรณีของ DVT เฉียบพลัน

เราไม่สามารถสรุปผลได้จากหลักฐานที่มีอยู่อย่างจำกัดสำหรับการใช้ยาต้านเกล็ดเลือดเป็นการรักษาเพิ่มเติมร่วมกับ BMP เมื่อเทียบกับ BMP เพียงอย่างเดียวในกรณีของ DVT เฉียบพลันและเรื้อรัง

ข้อจำกัด ของหลักฐานคืออะไร

ความเชื่อมั่นในหลักฐานของเรามีจำกัดหรือจำกัดมาก เนื่องจากมีคนเพียงไม่กี่คนที่เกิดเหตการณ์ขึ้น และข้อจำกัดของการศึกษาบางเรื่องอาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดได้ เช่น การสุ่มตัวอย่างและข้อกังวลในการรายงานแบบคัดเลือก ผลลัพธ์ที่กำหนดไว้ไม่ดี และการตีพิมพ์ซ้ำ

การศึกษาคุณภาพสูงในอนาคตอาจสร้างข้อมูลที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผลลัพธ์ เช่น การเสียชีวิตและผลข้างเคียง ตลอดจนการรักษาภาวะ DVT เฉียบพลัน

หลักฐานนี้เป็นปัจจุบันแค่ไหน

หลักฐานเป็นข้อมูลล่าสุดถึงวันที่ 7 ธันวาคม 2021

ข้อสรุปของผู้วิจัย: 

ใน DVT แบบเรื้อรัง การรักษามาตรฐานเบื้องต้นตามด้วยยาต้านการแข็งตัวของเลือด มีหลักฐานที่มีความเชื่อมั่นต่ำว่ายาต้านเกล็ดเลือดที่ให้ร่วมกับ BMP อาจลด VTE ที่เกิดซ้ำ (NNTB = 14) เมื่อเทียบกับ BMP บวกกับยาหลอก หลักฐานที่มีความเชื่อมั่นปานกลางแสดงให้เห็นความแตกต่างที่ไม่ที่ชัดเจนในเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ การตกเลือดที่สำคัญ และ PE เมื่อใช้ยาต้านเกล็ดเลือดร่วมกับ BMP เมื่อเทียบกับ BMP บวกกับยาหลอก

สำหรับ DVT แบบเฉียบพลันและเรื้อรัง การรักษามาตรฐานเบื้องต้นด้วยยาต้านการแข็งตัวของเลือด เราไม่สามารถหาข้อสรุปสำหรับการให้ยาต้านเกล็ดเลือดเพิ่มเติมจาก BMP เมื่อเทียบกับ BMP เพียงอย่างเดียวเนื่องจากมีหลักฐานความแน่นอนต่ำมาก

จำเป็นต้องมีการทดลองที่มีระเบียบวิธีวิจัยคุณภาพสูงซึ่งมีขนาดใหญ่และมีระยะเวลาเพียงพอในการตรวจหาผลลัพธ์ทางคลินิกที่มีนัยสำคัญ การทดลองควรใช้เวลานานกว่า 4 ปีเพื่อประเมินผลระยะยาวของยาต้านเกล็ดเลือด การทดลองควรรวมผู้ที่มี DVT เฉียบพลันและเรื้อรัง และให้ข้อมูลแต่ละอย่างที่เกี่ยวข้อง เช่น ผลลัพธ์สำหรับแต่ละดัชนีของเหตุการณ์แต่ละอย่าง (DVT หรือ PE) การใช้ตัวกรอง inferior vena cava (IVC) ไม่ว่า DVT จะเป็นชนิดถูกกระตุ้นหรือไม่ก็ตาม และ อายุของผู้เข้าร่วม

อ่านบทคัดย่อฉบับเต็ม
บทนำ: 

ยาต้านเกล็ดเลือดอาจมีประโยชน์สำหรับการรักษาภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำส่วนลึก (DVT) เมื่อใช้ร่วมกับการปฏิบัติทางการแพทย์ที่ดีที่สุด (BMP) ซึ่งรวมถึงยาต้านการแข็งตัวของเลือด ถุงน่องแบบรัดกล้ามเนื้อ และการดูแลทางคลินิก เช่น การออกกำลังกาย การทำให้ผิวหนังชุมชื้น เป็นต้น ยาต้านเกล็ดเลือดสามารถลดภาวะแทรกซ้อน เช่น post-thrombotic syndrome (PTS) และ pulmonary embolism (PE) นอกจากนี้ยังอาจลดการกลับเป็นซ้ำของโรค (recurrent venous thromboembolism (recurrent VTE)) อย่างไรก็ตาม ยาต้านเกล็ดเลือดอาจเพิ่มโอกาสในการตกเลือดได้

วัตถุประสงค์: 

เพื่อประเมินผลของยาต้านเกล็ดเลือดเมื่อใช้ร่วมกับ BMP ปัจจุบันเทียบกับ BMP ปัจจุบัน (มีหรือไม่มียาหลอก) สำหรับการรักษา DVT

วิธีการสืบค้น: 

ผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลหลอดเลือดของ Cochrane ค้นหาฐานข้อมูล Cochrane Vascular Specialized Register, CENTRAL, MEDLINE, Embase และ CINAHL และ World Health Organization International Clinical Trials Registry Platform และ ClinicalTrials.gov ลงทะเบียนจนถึงวันที่ 7 ธันวาคม 2021 ผู้ทบทวนได้ค้นหาฐานข้อมูล LILACS และ IBECS (15 ธันวาคม 2021) และตรวจสอบบรรณานุกรมของการทดลองที่รวมไว้สำหรับการอ้างอิงเพิ่มเติมถึงการทดลองที่เกี่ยวข้อง และติดต่อผู้เชี่ยวชาญในสาขา ผู้ผลิต และผู้เขียนของการทดลองที่รวมไว้

เกณฑ์การคัดเลือก: 

เราพิจารณาการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม (RCTs) ที่ตรวจสอบยาต้านเกล็ดเลือดเทียบกับ BMP หลังจากการรักษาด้วยยาต้านการแข็งตัวของเลือดมาตรฐานเบื้องต้นสำหรับ DVT เรารวมการศึกษาที่ให้ยาต้านเกล็ดเลือดเพิ่มเติมจาก BMP ปัจจุบันเทียบกับ BMP ปัจจุบัน (มีหรือไม่มียาหลอก) สำหรับการรักษา DVT (เฉียบพลัน: การรักษาเริ่มต้นภายใน 21 วันของอาการ; เรื้อรัง: การรักษาเริ่มต้นหลังจาก 21 วันของอาการเริ่มมีอาการ ). เราประเมินเฉพาะ RCT ที่ยาต้านเกล็ดเลือดมีความแตกต่างระหว่างกลุ่ม (กลุ่มรักษาและกลุ่มควบคุม) เท่านั้น

การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล: 

เราใช้ขั้นตอนวิธีมาตรฐานของ Cochrane ผู้ทบทวนสองคนดึงข้อมูลอย่างอิสระและประเมินความเสี่ยงของอคติของการศึกษาวิจัย ความขัดแย้งใด ๆ ได้รับการแก้ไขโดยการหารือกับผู้ทบทวนคนที่สาม เราคำนวณผลกระทบของผลลัพธ์โดยใช้อัตราส่วนความเสี่ยง (RR) หรือความแตกต่างเฉลี่ย (MD) ด้วยช่วงความเชื่อมั่น 95% (CI) และจำนวนคนที่จำเป็นต้องให้การรักษาเพื่อให้ได้ประโยชน์ 1 คน (NNTB)

ผลการวิจัย: 

เรารวมการศึกษาหกเรื่องที่มีผู้เข้าร่วมที่เข้าเกณฑ์ 1625 คน โดยมีข้อมูลการติดตามผลนานถึง 37.2 เดือน สำหรับการเปรียบเทียบที่วางแผนไว้ล่วงหน้าหนึ่งอย่าง (เช่น ยาต้านเกล็ดเลือดบวก BMP เทียบกับ BMP บวกยาหลอก) สำหรับ DVT เฉียบพลัน เราพบว่าไม่มีการศึกษาที่เข้าเกณฑ์

ใน DVT เฉียบพลัน ยาต้านเกล็ดเลือดบวก BMP เทียบกับ BMP เพียงอย่างเดียวได้รับการประเมินโดยการศึกษาหนึ่งเรื่อง (ผู้เข้าร่วม 500 คน) ซึ่งรายงานผลลัพธ์สี่ประการจนถึง 6 เดือนของการติดตามผล ไม่มีผู้เสียชีวิตและไม่มีรายงานกรณีเลือดออกมาก ผู้เข้าร่วมที่ได้รับยาต้านเกล็ดเลือดมีความเสี่ยงต่ำของ PTS (RR 0.74, 95% CI 0.61 ถึง 0.91; 1 การศึกษา, ผู้เข้าร่วม 500 คน; หลักฐานที่มีความเชื่อมั่นต่ำมาก) กลุ่มควบคุมมีความเสี่ยงต่อเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ต่ำกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ให้การรักษา (RR 2.88, 95% CI 1.06 ถึง 7.80; การศึกษา 1 เรื่อง, ผู้เข้าร่วม 500 คน; หลักฐานที่มีความเชื่อมั่นต่ำมาก) การศึกษานี้ไม่ได้ให้ข้อมูลสำหรับ VTE ที่เกิดซ้ำหรือ PE

ใน DVT เรื้อรัง ยาต้านเกล็ดเลือดบวก BMP เทียบกับ BMP เพียงอย่างเดียวได้รับการประเมินโดยการศึกษาหนึ่งเรื่อง (ผู้เข้าร่วม 224 คน) ผู้ศึกษารายงานผลลัพธ์ที่เกี่ยวข้อง 4 รายการ โดย 3 รายการ (เลือดออกรุนแรง การตาย และเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์) ไม่พบเหตุการณ์ใดๆ ในช่วง 3 ปีของการติดตาม ดังนั้น การประเมินผลกระทบสามารถรายงานได้เฉพาะสำหรับ VTE ที่เกิดซ้ำเท่านั้น โดยการใช้ยาต้านเกล็ดเลือดร่วมกับ BMP ดีกว่าเมื่อเทียบกับ BMP เพียงอย่างเดียว (RR 0.12, 95% CI 0.05 ถึง 0.34; การศึกษา 1 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 224 คน; หลักฐานที่มีความเชื่อมั่นต่ำมาก) สำหรับผลลัพธ์ของ PE และ PTS การศึกษานี้ไม่ได้นำเสนอข้อมูลที่สามารถใช้ในการวิเคราะห์ได้

ใน DVT เรื้อรัง ยาต้านเกล็ดเลือดบวก BMP เทียบกับ BMP บวกยาหลอกได้รับการประเมินโดยการศึกษาสี่เรื่อง (ผู้เข้าร่วม 901 คน) การวิเคราะห์เมตาของข้อมูลที่รวบรวมนี้แสดงให้เห็นความเสี่ยงที่ลดลงของ VTE ที่เกิดซ้ำสำหรับกลุ่มยาต้านเกล็ดเลือด (RR 0.65, 95%, CI 0.43 ถึง 0.96; NNTB = 14; หลักฐานที่มีความเชื่อมั่นต่ำ) สำหรับภาวะเลือดที่สำคัญ เราพบว่าไม่มีความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างกลุ่มที่ได้รับยาหลอกและกลุ่มที่รักษาจนถึง 37.2 เดือนของการติดตาม (RR 0.98, 95% CI 0.29 ถึง 3.34; การศึกษา 1 เรื่อง, ผู้เข้าร่วม 583 คน; หลักฐานที่มีความเชื่อมั่นปานกลาง) ในผลลัพธ์ PE ที่ทำให้เสียชีวิต/ไม่เสียชีวิต เราพบว่าไม่มีความแตกต่างที่ชัดเจนกับการใช้ยาต้านเกล็ดเลือด (RR 0.52, 95% CI 0.23 ถึง 1.14; การศึกษา 1 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 583 คน; หลักฐานที่มีความเชื่อมั่นปานกลาง) สำหรับการตายจากทุกสาเหตุ ผลกระทบโดยรวมของยาต้านเกล็ดเลือดไม่แตกต่างจากกลุ่มยาหลอก (RR 0.48, 95% CI 0.21 ถึง 1.06; การศึกษา 3 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 649 คน; หลักฐานความเชื่อมั่นปานกลาง) ผลลัพธ์จากเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ไม่ได้แสดงความแตกต่างที่ชัดเจน (RR 1.57, 95% CI 0.34 ถึง 7.19; การศึกษา 2 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 621 คน; หลักฐานความเชื่อมั่นปานกลาง) ไม่มีการประเมิน PTS ในการศึกษาเหล่านี้

เราลดระดับความแน่นอนของหลักฐานสำหรับความเสี่ยงของอคติ การใช้วิธีทางอ้อม ความไม่แม่นยำ และอคติในการตีพิมพ์

บันทึกการแปล: 

แปลโดย พญ.วิลาสินี หน่อแก้ว Edit โดย ผกากรอง 19 พฤศจิกายน 2022

Tools
Information