ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

การบำบัดทางจิตใจสามารถช่วยรักษาแผลที่เท้าจากเบาหวานและป้องกันการกลับเป็นซ้ำได้หรือไม่

ที่มาและความสำคัญ

โรคเบาหวานเป็นภาวะที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งฮอร์โมนอินซูลินที่สร้างจากตับอ่อนเป็นตัวควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยจะสั่งให้ตับ กล้ามเนื้อ และเซลล์ไขมันขจัดน้ำตาลออกจากเลือดและกักเก็บไว้ และเมื่อตับอ่อนสร้างอินซูลินไม่เพียงพอ หรือร่างกายไม่ตอบสนองต่ออินซูลิน ก็จะมีน้ำตาลสูงเกินไปในกระแสเลือด

ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงสามารถสร้างผลเสียต่อเส้นประสาทที่แขนขา (เช่น มือหรือเท้า) และทำให้เกิดอาการชา ซึ่งหมายความว่า หากคนที่เป็นเบาหวานถูกของมีคมบาดที่เท้าหรือเกิดแผลพุพองที่เท้าขึ้น พวกเขาอาจไม่รู้สึกเลย จนกระทั่งแผลพุพองกลายเป็นแผลเปิดหรือที่เรียกว่า แผลที่เท้าจากเบาหวาน (diabetic foot ulcer; DFU) ซึ่งแผลอาจหายได้ช้า เนื่องจากโรคเบาหวานทำลายหลอดเลือด ซึ่งจะจำกัดปริมาณเลือดและออกซิเจนและสารอาหารที่จำเป็นต่อการสมานแผล หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา แผลอาจติดเชื้อได้ ในกรณีที่รุนแรงอาจจำเป็นต้องตัดนิ้วเท้า เท้า หรือมากกว่านั้น

ผู้ที่มี DFU อาจรู้สึกกังวลเกี่ยวกับแผลและส่งผลกระทบต่อชีวิตของพวกเขาได้ ซึ่งอาจส่งผลลดโอกาสหายของแผลและทำให้เกิดแผลซ้ำขึ้นได้อีก การบำบัดทางจิตอาจช่วยเพิ่มการหายของแผลและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำได้ โดยช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าสามารถจัดการกับโรคเบาหวานและ DFU ได้

ผู้วิจัยต้องการค้นหาอะไร

ผู้วิจัยต้องการทราบว่าการบำบัดทางจิตช่วยเพิ่มการหายของ DFU และป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำได้หรือไม่ นอกจากนี้ยังต้องการทราบว่าวิธีนี้มีผลหรือไม่ต่อจำนวนการตัดแขนขา, คุณภาพชีวิต, ค่าใช้จ่ายในการรักษา และความเชื่อของผู้ป่วยว่าสามารถจัดการภาวะนี้ได้ นอกเหนือจากการเปรียบเทียบผลของการบำบัดทางจิตวิทยาในวิธีที่แตกต่างกัน

วิธีการ

ผู้วิจัยสืบค้นการทดลองแบบ randomised controlled trials ที่เกี่ยวข้องซึ่งการรักษาที่แต่ละคนได้รับนั้นจะถูกเลือกแบบสุ่ม การศึกษาประเภทนี้มักให้หลักฐานที่น่าเชื่อถือที่สุดเกี่ยวกับผลของการรักษา จากนั้นจึงเปรียบเทียบผลลัพธ์และสรุปหลักฐานจากการศึกษาทั้งหมด ผู้วิจัยพิจารณาความเชื่อมั่นของหลักฐานจากปัจจัยต่างๆ เช่น วิธีการศึกษา, ขนาดของกลุ่มประชากร, และความสอดคล้องของผลลัพธ์ในการศึกษาต่างๆ จากการประเมินของผู้วิจัย ได้จัดกลุ่มหลักฐานว่ามีความเชื่อมั่นต่ำมาก, ต่ำ, ปานกลางหรือสูง

สิ่งที่พบ

ผู้วิจัยพบการศึกษา 7 ฉบับที่ศึกษาในผู้ป่วยโรคเบาหวาน 290 คน และติดตามผลระหว่าง 6 สัปดาห์ถึง 6 เดือน การศึกษาเหล่านี้ดำเนินการในออสเตรเลีย, สหรัฐอเมริกา, นอร์เวย์, อินโดนีเซีย, แอฟริกาใต้และสหราชอาณาจักร ซึ่งการบำบัดทางจิตวิทยาที่นำมาใช้ ได้แก่ :

- การให้คำปรึกษา (การศึกษา 3 ฉบับ);

- การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ (การศึกษา 1 ฉบับ);

- การสร้างแรงจูงใจเฉพาะรายบุคคล (การศึกษา 1 ฉบับ);

- การบำบัดที่หวังผลพัฒนาความเข้าใจของบุคคลเกี่ยวกับสุขภาวะ (การศึกษา 1 ฉบับ)

- การบำบัดทางความคิดและพฤติกรรม (cognitive behavioural therapy) แบบกลุ่ม (การศึกษา 1 ฉบับ)

การบำบัดทางจิตเปรียบเทียบกับการดูแลตามปกติ

ผู้วิจัยไม่อาจสรุปได้ว่าการบำบัดทางจิตช่วยในเรื่องการหายของ DFU หรือป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของแผลได้หรือไม่ เนื่องจากหลักฐานมีความเชื่อมั่นต่ำมาก

การบำบัดทางจิตแต่ละวิธีเปรียบเทียบกัน

ผู้วิจัยไม่อาจสรุปได้ว่าการบำบัดทางจิตวิธีใดมีประสิทธิผลเหนือกว่า ในการสมานแผล DFU หรือการป้องกันไม่ให้เกิดแผลซ้ำ เนื่องจากไม่มีการศึกษาใดที่พิจารณาประเด็นเหล่านี้ หรือหลักฐานที่มีมีความเชื่อมั่นต่ำมาก

ผู้วิจัยไม่อาจสรุปได้ว่าการบำบัดทางจิตมีผลใดๆ ต่อระยะเวลาที่เกิดแผลใหม่ขึ้นอีกครั้ง, การตัดแขนขา, คุณภาพชีวิต หรือความเชื่อของผู้ป่วยว่าสามารถจัดการภาวะนี้ได้ เนื่องจากยังไม่มีการศึกษาเกี่ยวกับประเด็นเหล่านี้หรือมีจำนวนการศึกษาที่น้อยเกินไป ไม่มีการศึกษาใดที่รายงานข้อมูลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายของการบำบัดทางจิตวิทยา

สิ่งนี้หมายความว่าอะไร

ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนเกี่ยวกับผลของการบำบัดทางจิตวิทยาต่อการหายของ DFU รวมถึงการกลับเป็นซ้ำ

จำเป็นต้องมีการศึกษาที่มีคุณภาพสูงซึ่งศึกษาในผู้ป่วยจำนวนมากพอที่จะตรวจพบผลที่อาจเกิดขึ้นจากการบำบัดทางจิตวิทยาต่อการหายของแผลหรือการกลับเป็นซ้ำ ซึ่งการมีชุดของตัววัดผลที่ชัดเจนและเป็นที่ยอมรับจะเป็นประโยชน์สำหรับการศึกษาในอนาคต เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบและวิเคราะห์ผลจากการศึกษาต่างๆ ร่วมกันได้

ความเป็นปัจจุบันของการทบทวนวรรณกรรมนี้

หลักฐานของการทบทวนวรรณกรรมนี้เป็นปัจจุบันถึง กันยายน 2019

บทนำ

แผลที่เท้าจากเบาหวาน (Diabetic foot ulceration: DFU) คือ แผลที่มีความลึก full-thickness ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ข้อเท้าลงไป ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญของโรคเบาหวาน ที่แม้จะมีแนวทางการรักษาที่ดีที่สุด แต่แผลของผู้ป่วยหลายคนก็ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ และเมื่อหายแล้วความเสี่ยงของการกลับเป็นซ้ำของ DFU ก็ยังคงสูงอยู่ ซึ่งความเชื่อของผู้ป่วยเกี่ยวกับความสามารถในการดูแลแผลของตัวเองสัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมที่ดีในการดูแล DFU การบำบัดทางจิตมีเป้าหมายเพื่อลดระดับความเครียดทางจิตใจ และส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการดูแลตนเอง และมีหลักฐานบางอย่างที่ชี้ให้เห็นว่าวิธีนี้ส่งผลในเชิงบวกต่ออัตราการหายของแผลได้

วัตถุประสงค์

เพื่อประเมินประสิทธิผลของการบำบัดทางจิตใจต่อการหายและการกลับเป็นซ้ำของ DFU

วิธีการสืบค้น

ในเดือนกันยายน 2019 ผู้วิจัยได้สืบค้นใน the Cochrane Wounds Specialised Register; the Cochrane Central Register of Controlled Trials (CENTRAL); Ovid MEDLINE (including In-Process & Other Non-Indexed Citations); Ovid Embase,Ovid PsycINFO และ EBSCO CINAHL Plus นอกจากนี้ยังได้สืบค้นการศึกษาทางคลินิกที่ลงทะเบียนและกำลังดำเนินการอยู่, การศึกษาที่ไม่ได้ตีพิมพ์ และรายการเอกสารอ้างอิงจากการศึกษาที่เกี่ยวข้อง เช่นเดียวกับบทความทบทวนวรรณกรรม, การวิเคราะห์อภิเมตต้า และรายงานเกี่ยวกับเทคโนโลยีสุขภาพเพื่อค้นหาการศึกษาเพิ่มเติม โดยไม่มีข้อจำกัดทั้งในด้านภาษา วันที่ตีพิมพ์ หรือสถานที่ที่ทำวิจัย

เกณฑ์การคัดเลือก

ผู้วิจัยรวบรวมการทดลองแบบ randomised controlled trials (RCT) และ quasi-RCTs ที่ประเมินการบำบัดทางจิตเปรียบเทียบกับการดูแลมาตรฐาน หรือเทียบกับการให้ความรู้หรือการบำบัดทางจิตวิธีอื่นๆ โดยผลลัพธ์หลัก คือ สัดส่วนของบาดแผลที่หายสนิท, ระยะเวลารักษาจนกว่าแผลจะหายสนิท, ระยะเวลาจนกว่าจะเกิดแผลซ้ำ และจำนวนครั้งที่เกิดแผลซ้ำ

การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล

ผู้วิจัย 4 คนได้คัดกรองชื่อเรื่องและบทคัดย่อของการศึกษาที่ถูกค้นพบด้วย search strategy โดยเป็นอิสระต่อกัน ผู้วิจัย 3 คนคัดกรองการศึกษาที่อาจเกี่ยวข้องทั้งหมดอย่างเป็นอิสระตามเกณฑ์การคัดเลือก และดำเนินการดึงข้อมูล, ประเมินความเสี่ยงของการมีอคติ และประเมิน GRADE ของความเชื่อมั่นของหลักฐาน

ผลการวิจัย

ผู้วิจัยค้นพบการทดลอง 7 ฉบับ (RCT 6 ฉบับและ quasi-RCT 1 ฉบับ) ที่ตรงตามเกณฑ์การคัดเลือก โดยมีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 290 คน การศึกษาเหล่านี้ดำเนินการในออสเตรเลีย, สหรัฐอเมริกา, นอร์เวย์, อินโดนีเซีย, แอฟริกาใต้และสหราชอาณาจักร การศึกษา 3 ฉบับใช้การบำบัดในรูปแบบการให้คำปรึกษา และการศึกษาอีก 1 ฉบับประเมินการบำบัดที่เพิ่มความเข้าใจในสุขภาวะของตนเอง มี RCT 1 ฉบับ ที่ใช้การฝึกแบบ biofeedback relaxation training และอีก 1 ฉบับใช้การบำบัดทางความคิดและพฤติกรรม (cognitive behavioural therapy) และมี quasi-RCT 1 ฉบับ ที่ประเมินแรงจูงใจและปรับแต่งวิธีการบำบัดให้เหมาะสมกับแต่ละคน

เนื่องจากความแตกต่างของรูปแบบการทดลอง การรวมกันของข้อมูลจึงถูกตัดสินว่าไม่เหมาะสมดังนั้นผู้วิจัยจึงนำเสนอการสังเคราะห์แบบบรรยายแทน มีการเปรียบเทียบได้แก่ (1) การบำบัดทางจิตใจเปรียบเทียบกับการดูแลตามมาตรฐานและ (2) การบำบัดทางจิตใจวิธีต่างๆ เปรียบเทียบกัน

ผู้วิจัยไม่แน่ใจว่ามีความแตกต่างระหว่างการบำบัดทางจิตใจและการดูแลมาตรฐานสำหรับผู้ที่มี DFU ในแง่ของสัดส่วนของบาดแผลที่หายสนิท (มี 2 การศึกษาที่ไม่ได้เอาผลลัพธ์รวมกัน, การศึกษาแรก RR 6.25, 95% CI 0.35 ถึง 112.5; ผู้เข้าร่วม 16 คน, การศึกษาที่สอง RR 0.59, 95% CI 0.26 ถึง 1.39; ผู้เข้าร่วม 60 คน), ในแง่ของการกลับเป็นซ้ำของแผลที่เท้าหลังจากหนึ่งปี (มี 2 การศึกษาที่ไม่ได้เอาผลลัพธ์รวมกัน, การศึกษาแรก RR 0.67, 95% CI 0.32 ถึง 1.41; ผู้เข้าร่วม 41 คน, การศึกษาที่สอง RR 0.63, 95% CI 0.05 ถึง 7.90; ผู้เข้าร่วม 13 คน) หรือในคุณภาพชีวิตที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ (การศึกษา 1 ฉบับ, MD 5.52, 95% CI -5.80 ถึง 16.84; ผู้เข้าร่วม 56 คน) ผลลัพธ์นี้มาจากหลักฐานที่มีความเชื่อมั่นต่ำมาก ซึ่งผู้วิจัยได้ตัดสินจากข้อจำกัดในการศึกษาที่ร้ายแรงมาก, ความเสี่ยงของการมีอคติ และความไม่แม่นยำ

ผู้วิจัยไม่แน่ใจว่าการบำบัดทางจิตด้วยวิธีที่แตกต่างกันจะส่งผลใดๆ หรือไม่ต่อสัดส่วนของบาดแผลที่หายสนิทในผู้ที่มี DFU (การศึกษา 1 ฉบับ, RR 2.33, 95% CI 0.92 ถึง 5.93; ผู้เข้าร่วม 16 คน ) ผลลัพธ์นี้มาจากหลักฐานที่มีความเชื่อมั่นต่ำมาก ซึ่งผู้วิจัยได้ตัดสินจากข้อจำกัดในการศึกษาที่ร้ายแรงมาก, ความเสี่ยงของการมีอคติ และความไม่แม่นยำ

ระยะเวลารักษาจนกว่าแผลจะหายสนิทมีรายงานในการศึกษา 2 ฉบับ แต่ไม่ใช่วิธีการวัดผลที่เหมาะสมที่จะนำมารวมไว้ในการทบทวนนี้ มีการศึกษา 1 ฉบับ รายงานการรับรู้ความสามารถของตนเอง และมีการศึกษาอีก 2 ฉบับ รายงานเรื่องคุณภาพชีวิต แต่มีเพียงการศึกษาเดียวเท่านั้นที่รายงานคุณภาพชีวิตในลักษณะที่ทำให้ผู้วิจัยดึงข้อมูลมาตรวจสอบได้ และไม่มีการศึกษาใดที่สำรวจผลลัพธ์หลักอื่นๆ (ระยะเวลาจนกว่าจะเกิดแผลซ้ำ) หรือผลลัพธ์รอง (การตัดแขนขาหรือค่าใช้จ่าย)

ข้อสรุปของผู้วิจัย

ผู้วิจัยไม่สามารถระบุได้ว่าการบำบัดทางจิตใจจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่เป็นแผลที่เท้าจากเบาหวานหรือเคยมีแผลที่เท้าจากเบาหวาน เพื่อให้การรักษาบาดแผลสมบูรณ์หรือป้องกันการกลับเป็นซ้ำ เนื่องจากมีจำนวนการศึกษาเกี่ยวกับการบำบัดทางจิตน้อยมากในประเด็นนี้ จากการศึกษาที่รวบรวมมา มีผลลัพธ์หลักเพียงไม่กี่ตัวที่มีรายงาน และเมื่อมีข้อมูลก็จะมาจากการศึกษาที่มีความเชื่อมั่นต่ำมากตามเกณฑ์ของ GRADE

บันทึกการแปล

ผู้แปล นพ.จักรพงศ์ รู้ปิติวิริยะ วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2021

การอ้างอิง
McGloin H, Devane D, McIntosh CD, Winkley K, Gethin G. Psychological interventions for treating foot ulcers, and preventing their recurrence, in people with diabetes. Cochrane Database of Systematic Reviews 2021, Issue 2. Art. No.: CD012835. DOI: 10.1002/14651858.CD012835.pub2.

การใช้คุกกี้ของเรา

เราใช้คุกกี้ที่จำเป็นเพื่อให้เว็บไซต์ของเรามีประสิทธิภาพ เรายังต้องการตั้งค่าการวิเคราะห์คุกกี้เพิ่มเติมเพื่อช่วยเราปรับปรุงเว็บไซต์ เราจะไม่ตั้งค่าคุกกี้เสริมเว้นแต่คุณจะเปิดใช้งาน การใช้เครื่องมือนี้จะตั้งค่าคุกกี้บนอุปกรณ์ของคุณเพื่อจดจำการตั้งค่าของคุณ คุณสามารถเปลี่ยนการตั้งค่าคุกกี้ได้ตลอดเวลาโดยคลิกที่ลิงก์ 'การตั้งค่าคุกกี้' ที่ส่วนท้ายของทุกหน้า
สำหรับข้อมูลโดยละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุกกี้ที่เราใช้ โปรดดู หน้าคุกกี้

ยอมรับทั้งหมด
กำหนดค่า