โยคะเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง

คำถามของการทบทวนวรรณกรรม

เราต้องการทราบว่าโยคะช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้รอดชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองได้หรือไม่

ความเป็นมา

โรคหลอดเลือดสมองเป็นปัญหาด้านสุขภาพที่สำคัญทั่วโลกซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้คนในหลายๆด้าน ตัวอย่างเช่น ผู้รอดชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองอาจมีปัญหาในการเคลื่อนไหวไปมา การสื่อสารและการเข้าสังคม โรคหลอดเลือดสมองอาจส่งผลต่อความรู้สึกของผู้คน อาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับความจำและสมาธิ หลังจากออกจากโรงพยาบาลหรือบริการอื่นๆสำหรับโรคหลอดเลือดสมอง ผู้รอดชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองต้องรับมือกับผลกระทบระยะยาวจากโรคหลอดเลือดสมอง งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าโยคะสามารถช่วยคนที่มีสภาวะอื่นๆในระยะยาวให้รับมือได้ดีขึ้น โยคะสามารถปรับปรุงคุณภาพชีวิต (QoL)

วันที่สืบค้น

เราสืบค้นการศึกษาที่ตีพิมพ์ถึงเดือนมิถุนายน 2017

ลักษณะของการศึกษา

เราพบการศึกษาวิจัยสองเรื่องที่มีการประเมินผลของโยคะสำหรับผู้รอดชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมอง มีผู้เข้าร่วมการศึกษาจำนวน 72 คนจากการศึกษาสองเรื่อง การศึกษาหนึ่งเรื่องดำเนินการศึกษาในสหรัฐอเมริกา และอีกหนึ่งการศึกษาดำเนินการในออสเตรเลีย โดยเฉลี่ยแล้วผู้รอดชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองมีอายุระหว่าง 60 ถึง 63 ปี และระยะเวลาการเป็นโรคหลอดเลือดสมองอยู่ระหว่างสี่ปีสามเดือนถึงเก้าปี ในการศึกษาของสหรัฐอเมริกา มีการจัดห้องเรียนโยคะขึ้นสองครั้งต่อสัปดาห์เป็นเวลาแปดสัปดาห์ ในการศึกษาของออสเตรเลีย จัดห้องเรียนโยคะขึ้นหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์เป็นเวลา 10 สัปดาห์ ทั้งสองการศึกษาส่งเสริมให้ผู้คนฝึกโยคะที่บ้านในเวลาของพวกเขาเอง การศึกษาทั้งสองเรื่องใช้การควบคุมแบบ waiting-list control ซึ่งหมายความว่าคนในกลุ่มควบคุมสามารถไปเรียนโยคะในตอนสิ้นสุดการศึกษาได้

แหล่งเงินทุน

การศึกษาในคนอเมริกันได้รับทุนจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา การศึกษาในคนออสเตรเลียได้รับทุนจาก National Stroke Foundation (Australia)

ผลลัพธ์ที่สำคัญ

เราสามารถวิเคราะห์ข้อมูลการศึกษาจากผู้เข้าร่วม 69 คน ประโยชน์ที่พบไม่มีนัยสำคัญต่อการวัดคะแนน QoL คะแนนการทรงตัว คะแนนความแข็งแรง คะแนนความอดทน คะแนนความเจ็บปวด คะแนนความพิการ ประโยชน์ที่พบไม่มีนัยสำคัญต่อการวัดการเคลื่อนไหว ถึงแม้ว่าการศึกษาหนึ่งเรื่องรายงานถึงความเป็นประโยชน์อย่างมีนัยสำคัญในการปรับปรุงด้านระยะการเคลื่อนไหว การศึกษาหนึ่งเรื่องรายงานถึงความเป็นประโยชน์อย่างมีนัยสำคัญในการลดความวิตกกังวล การศึกษาทั้งสองไม่ได้รายงานเกี่ยวกับการวัดอันตรายของผู้ป่วย

คุณภาพของหลักฐาน

เราประเมินคุณภาพของหลักฐานโดยวิธี GRADE โดยภาพรวม คุณภาพของหลักฐานต่ำมากเนื่องจากการทดลองที่นำเข้าในการทบทวนมีขนาดเล็ก การศึกษาทั้งสองเรื่องได้รับการพิจารณาว่ามีความเสี่ยงของการมีอคติสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องความไม่ครบถ้วนของข้อมูลและการเลือกรายงาน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งลักษณะตัวแทนของกลุ่มตัวอย่างในหนึ่งการศึกษา

สรุปผล

การทบทวนไม่สามารถระบุหลักฐานที่มีคุณภาพสูงพอเกี่ยวกับประโยชน์และความปลอดภัยของโยคะในการฟื้นฟูสมรรถภาพในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง จำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยที่มีคุณภาพดีเพื่อให้แน่ใจว่าโยคะมีประโยชน์สำหรับผู้รอดชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมอง

ข้อสรุปของผู้วิจัย: 

โยคะมีศักยภาพในการรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการฟื้นฟูสมรรถภาพแบบผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง อย่างไรก็ตามการทบทวนเรื่องนี้มีข้อมูลที่ไม่เพียงพอในการยืนยันหรือปฏิเสธประสิทธิผลหรือความปลอดภัยของโยคะในฐานะที่เป็นวิธีการรักษาฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง จำเป็นต้องมีการทดลองที่มีประสิทธฺภาพมากขึ้นเพื่อสร้างประสิทธิผลของโยคะในฐานะที่เป็นวิธีการรักษาฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง

อ่านบทคัดย่อฉบับเต็ม
บทนำ: 

โรคหลอดเลือดสมองเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญและเป็นสาเหตุของความพิการในระยะยาวและมีผลกระทบที่สำคัญต่ออารมณ์และทางเศรษฐกิจและสังคม มีความจำเป็นที่จะต้องคิดค้นทางเลือกของสิ่งแทรกแซงที่ยั่งยืนในระยะยาวเพื่อส่งเสริมผู้รอดชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองให้มีส่วนร่วมในกิจกรรมที่มีความสำคัญเพื่อรับมือกับความท้าทายหลังจากเกิดโรคหลอดเลือดสมอง การฟื้นฟูสมรรถภาพเน้นการฟื้นฟูสมรรถภาพและการรับรู้ให้อยู่ในระดับสูงสุดที่สามารถทำได้และอาจรวมถึงกลยุทธ์เสริมที่หลากหลายรวมถึงโยคะ

โยคะคือการฝึกจิตที่กำเนิดขึ้นในอินเดียและแพร่หลายมากขึ้นในโลกตะวันตก หลักฐานล่าสุดชี้ให้เห็นถึงผลในเชิงบวกของโยคะสำหรับผู้คนทั้งทางด้านสุขภาพกายและจิตใจ การทบทวนวรรณกรรมที่ไม่ใช่การทบทวนของ Cochrane ล่าสุดสรุปว่าโยคะสามารถใช้เป็นแนวทางในการฟื้นฟูสมรรถภาพในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองได้

วัตถุประสงค์: 

เพื่อประเมินประสิทธิผลของโยคะในฐานะที่เป็นสิ่งแทรกแซงการฟื้นฟูสมรรถภาพในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองต่อการฟื้นฟูการทำงานและคุณภาพชีวิต (QoL)

วิธีการสืบค้น: 

เราสืบค้นใน the Cochrane Stroke Group Trials Register (สืบค้นล่าสุดเดือน กรกฎาคม 2017), Cochrane Central Register of Controlled Trials (CENTRAL) (สืบค้นล่าสุดเดือน กรกฎาคม 2017), MEDLINE (ถึงกรกฎาคม 2017), Embase (ถึงกรกฎาคม 2017), CINAHL (ถึงกรกฎาคม 2017), AMED (ถึงกรกฎาคม 2017), PsycINFO (ถึงกรกฎาคม 2017), LILACS (ถึงกรกฎาคม 2017), SciELO (ถึงกรกฎาคม 2017), IndMED (ถึงกรกฎาคม 2017), OTseeker (ถึงกรกฎาคม 2017) และ PEDro (ถึงกรกฎาคม 2017) นอกจากนี้เรายังได้สืบค้นในสี่ฐานข้อมูลการลงทะเบียนการทดลอง และ conference abstracts หนึ่งฐานข้อมูล เราคัดกรองรายการเอกสารอ้างอิงของสิ่งพิมพ์ที่เกี่ยวข้องและติดต่อผู้ประพันธ์เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม

เกณฑ์การคัดเลือก: 

เรารวบรวมการทดลองที่เป็น randomised controlled trials (RCTs) ที่เปรียบเทียบโยคะกับกลุ่มควบคุมแบบ waiting-list control หรือกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับสิ่งแทรกแซงในผู้รอดชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมอง

การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล: 

ผู้ทบทวนวรรณกรรมสองคนดึงข้อมูลจากการศึกษาที่นำเข้าอย่างอิสระต่อกัน เราทำการวิเคราะห์ทั้งหมดโดยใช้ Review Manager (RevMan) ผู้ประพันธ์หนึ่งคนลงข้อมูลใน RevMan และผู้ประพันธ์อีกหนึ่งคนตรวจสอบการลงข้อมูล เราทำการอภิปรายในกรณีที่ความคิดเห็นที่ไม่สอดคล้องกันด้วยผู้ทบทวนคนที่สามจนกว่าจะเป็นเอกฉันท์ เราใช้เครื่องมือประเมินความเสี่ยงของการมีอคติของ Cochrane ในกรณีที่เราพิจารณาว่าการศึกษามีความคล้ายคลึงกันมากพอ เราทำการวิเคราะห์เมตต้าโดยการรวมข้อมูลที่เหมาะสม สำหรับผลลัพธ์ที่ไม่เหมาะสมหรือไม่สามารถรวมข้อมูลเชิงปริมาณได้ เราวิเคราะห์เชิงพรรณนาและนำเสนอข้อมูลสาระสำคัญโดยสรุป (narrative summary)

ผลการวิจัย: 

เราได้รวม RCTs สองเรื่อง มีผู้เข้าร่วม 72 คน ผู้เข้าร่วม 69 คนถูกนำเข้าในการวิเคราะห์เมตต้า (การทรงตัว) ทั้งสองการทดลองประเมิน QoL พร้อมด้วยผลลัพธ์รองที่วัดเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวและผลทางจิตใจ และการศึกษาหนึ่งเรื่องได้วัดความพิการร่วมด้วย

ในการศึกษาหนึ่งเรื่องใช้ Stroke Impact Scale เพื่อวัด QoL ในหกหัวข้อทั้งก่อนและหลังได้รับสิ่งแทรกแซง ผลกระทบของโยคะต่อห้าหัวข้อไม่มีนัยสำคัญ (ทางกายภาพ อารมณ์ การสื่อสารและการมีส่วนร่วมทางสังคม การฟื้นฟูสมรรถภาพของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง) อย่างไรก็ตามผลของโยคะต่อหัวข้อที่เกี่ยวกับความจำมีนัยสำคัญ (ค่าเฉลี่ยความแตกต่าง (MD) 15.30, ช่วงเชื่อมั่น 95% (CI) 1.29 ถึง 29.31, P= 0.03) หลักฐานสำหรับผลการวิจัยนี้ต่ำมาก ในการศึกษาเรื่องที่สอง ประเมิน QoL จากการใช้ the Stroke-Specifc QoL Scale ผลที่พบไม่มีนัยสำคัญ

ผลลัพธ์รองรวมถึงการเคลื่อนไหว ความแข็งแรง ความอดทน และตัวแปรทางด้านจิตใจ ความเจ็บปวด และความพิการ

การวัดการทรงตัวในทั้งสองการศึกษาใช้ the Berg Balance Scale ผลของสิ่งแทรกแซงไม่มีนัยสำคัญ (MD 2.38, 95% CI -1.41 ถึง 6.17, P = 0.22) การวิเคราะห์ความไวไม่ได้เปลี่ยนแปลงทิศทางของผลลัพธ์ การศึกษาหนึ่งเรื่องวัดการรับรู้สมรรถนะแห่งตนโดยใช้ the Activities-specific Balance Confidence Scale (MD 10.60, 95% CI -7.08 ถึง 28.28, P = 0.24) ผลของสิ่งแทรกแซงไม่มีนัยสำคัญ หลักฐานของผลการวิจัยนี้ต่ำมาก

การศึกษาหนึ่งเรื่องวัดท่าเดินโดยใช้ Comfortable Speed Gait Test (MD 1.32, 95% CI -1.35 ถึง 3.99; P = 0.33) และการทำงานของกล้ามเนื้อ (motor function) โดยใช้ the Motor Assessment Scale (MD -4.00, 95% CI -12.42 ถึง 4.42, P = 0.35) ผลลัพธ์ที่พบไม่มีนัยสำคัญตามหลักฐานที่มีคุณภาพต่ำมาก

การศึกษาหนึ่งเรื่องวัดความพิการโดยใช้ the modified Rankin Scale (mRS) แต่รายงานเพียงว่าผู้เข้าร่วมการศึกษาไม่พิการหรือพิการ ผลลัพธ์ที่พบไม่มีนัยสำคัญ (odds ratio (OR) 2.08, 95% CI 0.50 ถึง 8.60, P = 0.31) หลักฐานสำหรับผลการวิจัยนี้ต่ำมาก

ความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าวัดในการศึกษาหนึ่งเรื่อง ใช้การวัดสามอย่างได้แก่ แบบฟอร์ม the Geriatric Depression Scale-Short Form (GCDS15) และ สองแบบฟอร์มของ State Trait Anxiety Inventory (STAI, Form Y) เพื่อวัดสภาวะความวิตกกังวล (เช่น มีความวิตกกังวลในการตอบสนองต่อสถานการณ์ตึงเครียด) และความวิตกกังวลตามลักษณะนิสัย (trait anxiety) (เช่น ความวิตกกังวลเกี่ยวข้องกับโรคทางจิตใจแบบเรื้อรัง) ผลที่พบไม่มีนัยสำคัญในเรื่องภาวะซึมเศร้า (GDS15, MD -2.10, 95% CI -4.70 ถึง 0.50, P = 0.11) หรือสำหรับความวิตกกังวลตามลักษณะนิสัย (STAI-Y2, MD -6.70, 95% CI -15.35 ถึง 1.95, P = 0.13) ตามหลักฐานที่มีคุณภาพต่ำมาก อย่างไรก็ตาม ผลที่พบไม่มีนัยสำคัญในเรื่องสภาวะความวิตกกังวล: STAI-Y1 (MD -8.40, 95% CI -16.74 ถึง -0.06, P = 0.05); หลักฐานสำหรับผลการวิจัยนี้ต่ำมาก

ไม่มีรายงานเรื่องเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์

คุณภาพของหลักฐาน

เราประเมินคุณภาพของหลักฐานโดยใช้ GRADE โดยรวม คุณภาพของหลักฐานที่ได้ต่ำมากเนื่องจากในการทบทวนได้รวมการทดลองสองเรื่องซึ่งถูกพิจารณาว่ามีความเสี่ยงของการมีอคติสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับความไม่สมบูรณ์ของข้อมูล และเลือกรายงาน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับลักษณะตัวแทนของตัวอย่างในหนึ่งการศึกษา

บันทึกการแปล: 

แปลโดย นางสาวน้ำเพชร จำปาทอง Cochrane ประเทศไทย แปลเมื่อ 29 มกราคม 2018

Tools
Information