ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ความแม่นยำของการอัลตราซาวนด์ในไตรมาสที่ 1 และ 2 เพื่อระบุความผิดปกติของทารกในครรภ์ในการตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงต่ำและไม่ได้รับการคัดเลือก

ใจความสำคัญ

อัลตราซาวนด์ก่อนคลอดมักใช้ในช่วงไตรมาสที่ 1 และ 2 ของการตั้งครรภ์เพื่อระบุปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับทารกที่กำลังเจริญเติบโต (ทารกในครรภ์) ในการศึกษานี้ เราได้วิเคราะห์การศึกษา 87 ฉบับ ที่ครอบคลุมทารกในครรภ์มากกว่า 7 ล้านคน แม้ว่าการอัลตราซาวนด์ ทั้งไตรมาสที่ 1 และไตรมาสที่ 2 จะยืนยันการพัฒนาตามปกติได้ดี (มีความจำเพาะสูง) แต่ความสามารถในการตรวจพบปัญหา (ความไว) แตกต่างกันไป ผู้หญิงที่มีการสแกนอัลตราซาวนด์ทั้งสองครั้งดูเหมือนจะตรวจพบความผิดปกติได้มากกว่า ก่อน 24 สัปดาห์ เมื่อเทียบกับผู้หญิงที่มีการสแกนเพียงไตรมาสที่สองเพียงครั้งเดียว อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างอาจเนื่องมาจากบริบทของการศึกษามากกว่าความแตกต่างที่แท้จริงในการตรวจจับ

ความผิดปกติของทารกในครรภ์คืออะไร

ความผิดปกติของทารกในครรภ์คือความผิดปกติที่อาจส่งผลต่ออวัยวะหรือส่วนต่างๆ ของร่างกายของทารก ซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ ความผิดปกติเหล่านี้อาจมีตั้งแต่สภาวะที่รุนแรงซึ่งไม่สามารถมีชีวิตได้ไปจนถึงสภาวะที่มีนัยสำคัญน้อยกว่า ซึ่งบางอย่างอาจถือว่าเป็นความแตกต่างที่เกิดขึ้นได้ตามปกติ

ตรวจพบความผิดปกติของทารกในครรภ์ได้อย่างไร

ความผิดปกติของทารกในครรภ์มักตรวจพบโดยอัลตราซาวนด์ ซึ่งใช้คลื่นเสียงเพื่อสร้างภาพรายละเอียดของอวัยวะภายในของทารก ประเทศส่วนใหญ่มีการตรวจอัลตราซาวนด์ 1 ครั้งในระหว่างการตั้งครรภ์เพื่อตรวจหาความผิดปกติของทารกในครรภ์ ซึ่งโดยทั่วไปจะดำเนินการในช่วงอายุครรภ์ 18 ถึง 24 สัปดาห์ (เป็นการตรวจในช่วงไตรมาสที่ 2) บางประเทศยังเสนอการสแกนความผิดปกติตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อระบุความผิดปกติที่สำคัญบางอย่างในระยะเริ่มต้น โดยทั่วไปการสแกนอัลตราซาวนด์นี้จะดำเนินการที่ 11 ถึง 14 สัปดาห์ (การอัลตราซาวนด์ในไตรมาสแรก)

เราต้องการค้นหาอะไร

เป้าหมายคือการทำความเข้าใจว่าการสแกนอัลตราซาวนด์แม่นยำเพียงใดในการตรวจหาความผิดปกติของโครงสร้างในหญิงตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงต่ำและไม่ได้รับการคัดเลือกเมื่อดำเนินการในไตรมาสที่ 1 และ 2 การศึกษานี้ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความแม่นยำของแนวทางการตรวจคัดกรองสองวิธีที่แตกต่างกัน คือ แนวทางแบบขั้นตอนเดียว ซึ่งประกอบด้วยการตรวจอัลตราซาวนด์เฉพาะในไตรมาสที่สองเท่านั้น กับแนวทางแบบสองขั้นตอน ซึ่งประกอบด้วยการตรวจทั้งในไตรมาสแรกและไตรมาสที่สอง

เราทำอะไรบ้าง

เราทบทวนการศึกษา 87 ฉบับ ครอบคลุมทารกในครรภ์มากกว่า 7 ล้านคน การศึกษาเหล่านี้มุ่งเน้นในกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ความเสี่ยงต่ำและกลุ่มทั่วไปที่ไม่ได้ผ่านการคัดเลือกมาก่อน (unselected women) ซึ่งได้รับการตรวจอัลตราซาวนด์ในช่วงไตรมาสแรกและ/หรือไตรมาสที่สอง อันเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลก่อนคลอดตามปกติ เราประเมินคุณภาพของการศึกษา ดึงข้อมูลที่เกี่ยวข้อง และใช้วิธีการทางสถิติเพื่อวิเคราะห์ความแม่นยำของการสแกนอัลตราซาวนด์

เราพบอะไร

การอัลตราซาวนด์ในไตรมาสแรกจะมีความแม่นยำในการตรวจหาความผิดปกติร้ายแรงของทารกในครรภ์ในระยะเริ่มแรก อย่างไรก็ตาม ความสามารถโดยรวมในการตรวจจับความผิดปกตินั้นมีจำกัด ในกลุ่มทารกในครรภ์ตามสมมติฐานจำนวน 100,000 ราย คาดว่าการตรวจนี้จะสามารถตรวจพบทารกที่มีภาวะผิดปกติรุนแรงถึงชีวิต (lethal anomalies) ได้อย่างถูกต้องจำนวน 113 ราย จากทั้งหมด 124 ราย (91.3%) และตรวจพบทารกที่มีภาวะผิดปกติใดๆ (any anomaly) ได้ 665 ราย จากทั้งหมด 1776 ราย (37.5%) น่าเสียดายที่ ทารกในครรภ์ที่ปกติประมาณ 79 ราย จากทั้งหมด 98,224 ราย (0.08%) อาจได้รับการวินิจฉัยผิดพลาดว่ามีความผิดปกติของทารกในครรภ์ ทั้งที่ตามความเป็นจริงแล้วไม่มีความผิดปกตินั้นอยู่ (การวินิจฉัยที่เป็นผลบวกลวง) แม้ว่าโอกาสที่จะได้รับการวินิจฉัยผลบวกลวงจะต่ำมาก แต่ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ อาจนำไปสู่ความวิตกกังวลและการตรวจเพิ่มเติมต่อที่ไม่จำเป็น

การตรวจร่วมกันในไตรมาสแรกและไตรมาสที่สองของการตั้งครรภ์นั้นมีความไวสูง โดยคาดว่าจะสามารถตรวจพบความผิดปกติได้ 1448 ราย จากทั้งหมด 1776 ราย (83.8%) ก่อนอายุครรภ์ 24 สัปดาห์ ในกลุ่มการตั้งครรภ์ตามสมมติฐานจำนวน 100,000 ราย อย่างไรก็ตาม ทารกในครรภ์ที่มีสุขภาพดีประมาณ 118 รายจาก 98,224 ราย (0.1%) อาจมีการวินิจฉัยเป็นผลบวกลวง

ดูเหมือนว่าจำนวนความผิดปกติของทารกในครรภ์ที่ตรวจพบก่อนอายุครรภ์ 24 สัปดาห์จะน้อยกว่าในกลุ่มผู้หญิงที่เข้ารับการตรวจเฉพาะในไตรมาสที่สอง (การคัดกรองแบบขั้นตอนเดียว) เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับการตรวจในไตรมาสแรกด้วย (การคัดกรองแบบสองขั้นตอน) คาดว่าการตรวจในไตรมาสที่สองเพียงครั้งเดียวจะตรวจพบได้ 896 ราย จากทั้งหมด 1776 ราย (50.5% ซึ่งน้อยกว่าการคัดกรองแบบสองขั้นตอน 592 ราย) และอาจส่งผลให้เกิดการวินิจฉัยผลบวกลวง (false-positive) ในทารกที่ปกติประมาณ 205 ราย จากทั้งหมด 98,224 ราย (0.2% ซึ่งมากกว่าการคัดกรองแบบสองขั้นตอน 88 ราย)

อย่างไรก็ตาม การศึกษาที่เน้นไปที่การสแกนอัลตราซสวนด์ในไตรมาสที่สองเพียงอย่างเดียวได้รับการออกแบบแตกต่างออกไป โดยทั่วไปแล้วผู้หญิงจะเข้าสู่การศึกษาวิจัยเหล่านี้หลังไตรมาสแรกของอายุครรภ์ มีความเป็นไปได้ว่าความผิดปกติที่สามารถตรวจพบได้ง่ายอาจถูกวินิจฉัยไปแล้วก่อนการเข้าร่วมการศึกษาผ่านการตรวจด้วยวิธีอื่น ส่งผลให้ในกลุ่มประชากรที่ศึกษานี้เหลือเพียงกรณีที่สังเกตเห็นได้ยากกว่า ความแตกต่างดังกล่าวอาจส่งผลให้มีการประเมินประสิทธิภาพการตรวจพบความผิดปกติโดยรวมต่ำกว่าความเป็นจริง ในการศึกษาที่ประเมินความแม่นยำของการตรวจในไตรมาสที่สองเพียงครั้งเดียว

จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสังเกตอัตราการตรวจจับความผิดปกติที่แตกต่างกันแยกตามระบบอวัยวะต่างๆ ความผิดปกติของผนังช่องท้องมีอัตราการตรวจพบความผิดปกติสูงสุด: 95.6% (จากการตรวจในไตรมาสแรก), 99.0% (จากการตรวจในไตรมาสแรกและไตรมาสที่สองร่วมกัน) และ 90.8% (จากการตรวจในไตรมาสที่สองเพียงครั้งเดียว) ความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารมีอัตราการตรวจพบความผิดปกติต่ำสุด: 8.3%, 46.5% และ 33.3%ตามลำดับ

ข้อจำกัดของหลักฐานคืออะไร

ผลลัพธ์ของการศึกษาที่รวบรวมมามีความหลากหลายอย่างมาก ทำให้การสรุปผลที่มีความถูกต้องแม่นยำเป็นเรื่องที่ท้าทาย อีกทั้ง การศึกษาทุกฉบับต่างก็มีข้อบกพร่องที่อาจเกิดขึ้นในเชิงระเบียบวิธีวิจัย ข้อกังวลหลักมุ่งเน้นไปที่ การยืนยันความถูกต้องของผลการตรวจก่อนคลอด (ทั้งกรณีปกติและผิดปกติ) ภายหลังทารกคลอด และ ความสามารถในการนำผลการวิจัยไปปรับใช้กับประชากรทั่วไป เนื่องจากงานวิจัยส่วนใหญ่ดำเนินการในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย ประการสุดท้าย ยังไม่มีการศึกษาใดที่เปรียบเทียบอัตราการตรวจพบโดยตรงระหว่างกลุ่มที่ได้รับการตรวจทั้งสองครั้ง กับกลุ่มที่ได้รับการตรวจเฉพาะในไตรมาสที่สองเท่านั้น แม้ว่าผลการทบทวนวรรณกรรมจะชี้ให้เห็นว่า การตรวจร่วมกันทั้งในไตรมาสที่หนึ่งและไตรมาสที่สองอาจตรวจพบความผิดปกติก่อนอายุครรภ์ 24 สัปดาห์ได้ดีกว่าการตรวจในไตรมาสที่สองเพียงครั้งเดียว แต่ความแตกต่างดังกล่าวอาจเป็นผลมาจากความแปรผันในการออกแบบการศึกษาและช่วงเวลาที่เข้าร่วมการวิจัย

หลักฐานนี้เป็นปัจจุบันแค่ไหน

การสืบค้นหลักฐานดำเนินการจนถึงวันที่ 22 กรกฎาคม 2022

บทนำ

อัลตราซาวนด์ก่อนคลอดถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในการคัดกรองความผิดปกติของโครงสร้างก่อนคลอด แม้ว่าโดยทั่วไปจะทำในช่วงไตรมาสที่ 2 แต่ก็มีการใช้อัลตราซาวนด์ในไตรมาสแรกเพิ่มมากขึ้น เพื่อตรวจหาความผิดปกติทางโครงสร้างที่รุนแรงถึงชีวิต (lethal) และความผิดปกติรุนแรงบางชนิด (certain severe anomalies) ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ

วัตถุประสงค์

เพื่อประเมินความแม่นยำในการวินิจฉัยของอัลตราซาวนด์ในการตรวจหาความผิดปกติของโครงสร้างของทารกในครรภ์ตั้งครรภ์อายุครรภ์ก่อน 14 และ 24 สัปดาห์ในหญิงตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงต่ำและไม่ได้รับการคัดเลือก และเพื่อเปรียบเทียบวิธีการตรวจคัดกรองก่อนคลอดหลัก 2 วิธีในปัจจุบัน: การสแกนไตรมาสที่ 2 ครั้งเดียว (single- stage screening) และการสแกนในไตรมาสที่ 1 และ 2 ร่วมกัน (two-stage screening) ในแง่ของการตรวจหาความผิดปกติก่อนอายุครรภ์ 24 สัปดาห์

วิธีการสืบค้น

เราค้นหา MEDLINE, EMBASE, Science Citation Index Expanded (Web of Science), Social Sciences Citation Index (Web of Science), Arts & Humanities Citation Index และ Emerging Sources Citation Index (Web of Science) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 1997 ถึง 22 กรกฎาคม 2022 เราจำกัดการค้นหาเฉพาะการศึกษาที่เผยแพร่หลังปี 1997 และไม่รวมการศึกษาในสัตว์ การทบทวน และการรายงานผู้ป่วย ไม่มีการใช้ข้อจำกัดเพิ่มเติม นอกจากนี้เรายังคัดกรองรายการอ้างอิงและบทความที่อ้างอิงแต่ละการศึกษาที่นำเข้ามา

เกณฑ์การคัดเลือก

การศึกษาที่มีสิทธิ์ถูกนำเข้ามาคือรวมหญิงตั้งครรภ์ที่มีความเสี่ยงต่ำหรือไม่ได้รับการคัดเลือกที่ได้รับการตรวจอัลตราซาวนด์ความผิดปกติของทารกในครรภ์ไตรมาสที่ 1 และ/หรือไตรมาสที่ 2 ซึ่งกำลังตั้งครรภ์ที่อายุครรภ์ 11 ถึง 14 สัปดาห์ หรือ 18 ถึง 24 สัปดาห์ ตามลำดับ มาตรฐานอ้างอิงคือการตรวจพบความผิดปกติตั้งแต่แรกเกิดหรือหลังการชันสูตรพลิกศพ

การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล

ผู้ทบทวนวรรณกรรม 2 คนทำการคัดเลือกการศึกษา ประเมินคุณภาพ (QUADAS-2) ดึงข้อมูล และประเมินความเชื่อมั่นของหลักฐาน (วิธี GRADE) อย่างเป็นอิสระต่อกัน เราใช้ univariated random-effects logistic regression models สำหรับการวิเคราะห์อภิมานของความไวและความจำเพาะ

ผลการวิจัย

การศึกษาที่นำมาวิเคราะห์มีจำนวนทั้งสิ้น 87 ฉบับ ซึ่งครอบคลุมทารกในครรภ์ 7,057,859 ราย (ในจำนวนนี้เป็นทารกที่มีความผิดปกติทางโครงสร้าง 25,202 ราย) ไม่มีการศึกษาใดถือว่ามีความเสี่ยงของการมีอคติต่ำในทุกโดเมนของ QUADAS-2 ข้อกังวลด้านระเบียบวิธีหลัก ได้แก่ ความเสี่ยงของการเกิดอคติในขอบเขตมาตรฐานอ้างอิง และความเสี่ยงจากการตรวจสอบยืนยันผลเพียงบางส่วน (partial verification) ข้อกังวลด้านการนำไปใช้ (Applicability concerns) เป็นประเด็นที่พบได้บ่อยในการศึกษาที่ประเมินการตรวจอัลตราซาวนด์ในไตรมาสแรกและการตรวจคัดกรองแบบสองขั้นตอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นการคัดเลือกผู้ป่วย ซึ่งมีสาเหตุมาจากการที่กลุ่มตัวอย่างมักถูกรวบรวมจากศูนย์บริการสุขภาพระดับตติยภูมิเพียงแห่งเดียว และไม่มีการคัดผู้ป่วยที่ได้รับการส่งต่อออก

เราได้รายงานความแม่นยำของการตรวจอัลตราซาวนด์สำหรับความผิดปกติทางโครงสร้างของทารกในครรภ์ในภาพรวม โดยจำแนกตามระดับความรุนแรง, ระบบอวัยวะที่ได้รับผลกระทบ และสำหรับความผิดปกติที่จำเพาะเจาะจงอีก 46 ชนิด อัตราการตรวจพบแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละหมวดหมู่ โดยมีค่าประมาณความไวสูงสุดสำหรับความผิดปกติของทรวงอกและผนังช่องท้อง และต่ำสุดสำหรับความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารในการทดสอบทั้งหมด

ความไวโดยสรุปของการอัลตราซาวนด์ในไตรมาสแรกคือ 37.5% สำหรับการตรวจหาความผิดปกติทางโครงสร้างโดยรวม (95% ช่วงความเชื่อมั่น (CI) 31.1 ถึง 44.3; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ) และ 91.3% สำหรับความผิดปกติร้ายแรง (95% CI 83.9 ถึง 95.5; หลักฐานความเชื่อมั่นปานกลาง) โดยมีความจำเพาะโดยรวม 99.9% (95% CI 99.9 ถึง 100; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ)

การคัดกรองแบบสองขั้นตอนมีความไวรวม 83.8% (95% CI 74.7 ถึง 90.1; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ) ในขณะที่การคัดกรองแบบขั้นตอนเดียวมีความไว 50.5% (95% CI 38.5 ถึง 62.4; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก)

ความจำเพาะของการคัดกรองแบบสองขั้นตอนคือ 99.9% (95% CI 99.7 ถึง 100; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ) และสำหรับการคัดกรองแบบขั้นตอนเดียวคือ 99.8% (95% CI 99.2 ถึง 100; หลักฐานความเชื่อมั่นปานกลาง)

การเปรียบเทียบทางอ้อมชี้ให้เห็นถึงความเหนือกว่าของการคัดกรองแบบสองขั้นตอนในการวิเคราะห์ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับความไว โดยไม่มีความแตกต่างที่มีนัยสำคัญในความจำเพาะ อย่างไรก็ตาม ความแน่นอนของหลักฐานต่ำมากเนื่องจากไม่มีการเปรียบเทียบโดยตรง

ข้อสรุปของผู้วิจัย

การอัลตราซาวนด์ในไตรมาสแรกมีศักยภาพในการตรวจหาความผิดปกติร้ายแรงที่ทำให้เสียชีวิตและความผิดปกติที่รุนแรงบางอย่างด้วยความแม่นยำสูงก่อนตั้งครรภ์ 14 สัปดาห์ แม้ว่าจะมีความไวโดยรวมจำกัดก็ตาม ในทางกลับกัน การตรวจคัดกรองแบบสองขั้นตอนจะแสดงความแม่นยำสูงในการตรวจหาความผิดปกติของโครงสร้างทารกในครรภ์ส่วนใหญ่ก่อนตั้งครรภ์ 24 สัปดาห์ โดยมีความไวและความจำเพาะสูง

จากกลุ่มตัวอย่างสมมติของทารกในครรภ์ 100,000 ราย คาดว่าการตรวจอัลตราซาวนด์ในไตรมาสแรกจะสามารถตรวจพบทารกที่มีความผิดปกติชนิดรุนแรงถึงชีวิต (lethal anomalies) ได้อย่างถูกต้อง 113 ราย จากทั้งหมด 124 ราย (91.3%) และตรวจพบทารกที่มีความผิดปกติใดๆ (any anomaly) ได้ 665 ราย จากทั้งหมด 1776 ราย (37.5%) อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะมีการวินิจฉัยที่ให้ผลบวกลวง 79 ครั้งในทารกในครรภ์ 98,224 ราย (0.08%) คาดว่าการตรวจคัดกรองแบบสองขั้นตอน จะสามารถตรวจพบกรณีความผิดปกติทางโครงสร้างโดยรวมได้อย่างถูกต้อง 1448 ราย จากทั้งหมด 1776 ราย (83.8%) โดยมีผลบวกลวง 118 ราย (0.1%)

ในทางตรงกันข้าม การตรวจคัดกรองแบบขั้นตอนเดียวคาดว่าจะระบุผู้ป่วย 896 รายจาก 1776 รายก่อนตั้งครรภ์ 24 สัปดาห์ได้อย่างถูกต้อง (50.5%) โดยมีการวินิจฉัยผลบวกลวง 205 ราย (0.2%) ซึ่งหมายความว่ามีการตรวจพบที่ถูกต้องน้อยลง 592 ราย และมีผลบวกลวงเพิ่มขึ้น 88 ราย เมื่อเปรียบเทียบกับการตรวจคัดกรองแบบสองขั้นตอน

อย่างไรก็ตาม เป็นสิ่งสำคัญที่จะยอมรับความไม่แน่นอนเกี่ยวกับประโยชน์เพิ่มเติมของการคัดกรองแบบสองขั้นตอนและแบบขั้นตอนเดียว เนื่องจากไม่มีการศึกษาใดที่เปรียบเทียกันโดยตรง ยิ่งไปกว่านั้น หลักฐานที่สนับสนุนความแม่นยำของการตรวจอัลตราซาวนด์ในไตรมาสแรกและการตรวจคัดกรองแบบสองขั้นตอนนั้น มีที่มาหลักจากการศึกษาที่ดำเนินการในสถานพยาบาลระดับตติยภูมิเพียงแห่งเดียว ซึ่งจำกัดความสามารถในการนำผลการวิเคราะห์อภิมานนี้ไปอ้างอิงกับประชากรในวงกว้าง

บันทึกการแปล

แปลโดย แพทย์หญิงวิลาสินี หน่อแก้ว โรงพยาบาลมะเร็งอุบลราชธานี Edit โดยพ.ญ. ผกากรอง ลุมพิกานนท์ 7 มิถุนายน 2025

การอ้างอิง
Buijtendijk MFJ, Bet BB, Leeflang MMG, Shah H, Reuvekamp T, Goring T, Docter D, Timmerman MGMM, Dawood Y, Lugthart MA, Berends B, Limpens J, Pajkrt E, van den Hoff MJB, de Bakker BS. Diagnostic accuracy of ultrasound screening for fetal structural abnormalities during the first and second trimester of pregnancy in low-risk and unselected populations. Cochrane Database of Systematic Reviews 2024, Issue 5. Art. No.: CD014715. DOI: 10.1002/14651858.CD014715.pub2.

การใช้คุกกี้ของเรา

เราใช้คุกกี้ที่จำเป็นเพื่อให้เว็บไซต์ของเรามีประสิทธิภาพ เรายังต้องการตั้งค่าการวิเคราะห์คุกกี้เพิ่มเติมเพื่อช่วยเราปรับปรุงเว็บไซต์ เราจะไม่ตั้งค่าคุกกี้เสริมเว้นแต่คุณจะเปิดใช้งาน การใช้เครื่องมือนี้จะตั้งค่าคุกกี้บนอุปกรณ์ของคุณเพื่อจดจำการตั้งค่าของคุณ คุณสามารถเปลี่ยนการตั้งค่าคุกกี้ได้ตลอดเวลาโดยคลิกที่ลิงก์ 'การตั้งค่าคุกกี้' ที่ส่วนท้ายของทุกหน้า
สำหรับข้อมูลโดยละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุกกี้ที่เราใช้ โปรดดู หน้าคุกกี้

ยอมรับทั้งหมด
กำหนดค่า