ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) มีประโยชน์และอันตรายอย่างไรในการรักษาอาการปวดนิ่วเฉียบพลัน

ใจความสำคัญ

- ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) อาจช่วยลดอาการปวดในผู้ใหญ่ที่มีอาการปวดนิ่ว

- ยาในกลุ่ม NSAIDs บางชนิดอาจให้ผลการรักษาที่ดีกว่าชนิดอื่นในผู้ใหญ่ที่มีอาการปวดนิ่ว

- ความเสี่ยงของการใช้ยา NSAID ในการรักษาอาการปวดนิ่วยังไม่ชัดเจน

อาการปวดนิ่วคืออะไร

นิ่วในไต (ทางเดินปัสสาวะ) อาจทำให้เกิดอาการปวดท้องเฉียบพลันและรุนแรงเมื่อไปอุดกั้นการไหลของปัสสาวะ อาการปวดนี้เรียกว่า ‘อาการปวดนิ่ว’

อาการปวดนิ่วรักษาอย่างไร

มีการใช้ยาหลายชนิดเพื่อรักษาอาการปวดท้องรุนแรงนี้ มักจะเกิดขึ้นในสถานการณ์ฉุกเฉิน NSAIDs ถูกใช้เพื่อลดการอักเสบและความดันในไต ซึ่งควรจะบรรเทาอาการปวดได้ มี NSAID หลายประเภทที่ถูกใช้เพื่อจุดประสงค์นี้ NSAID อาจทำให้เกิดปฏิกิริยาที่ไม่พึงประสงค์ได้ (“เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์”) ยา NSAIDs ไม่ทำให้เสพติด ซึ่งต่างจากยาแก้ปวดกลุ่มฝิ่น (narcotics) ที่ก็นำมาใช้รักษาอาการปวดจากนิ่วในไตเหมือนกัน

สิ่งที่เราต้องการทราบคืออะไร

เราต้องการค้นหาประโยชน์และอันตรายของ NSAID ในการรักษาผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่มีอาการปวดนิ่ว

เราทำอะไรบ้าง

เราค้นคว้าเอกสารทางการแพทย์อย่างละเอียดเพื่อหาการศึกษาที่เปรียบเทียบ NSAID กับยาหลอก หรือเปรียบเทียบ NSAID ชนิดต่างๆ การรักษาที่ให้กับผู้เข้าร่วมได้รับการกำหนดแบบสุ่มเพื่อลดคามเสี่ยงของการมีอคติ ผลลัพธ์ที่เราสนใจคือการเปลี่ยนแปลงความรุนแรงของความปวด ความจำเป็นในการใช้ยาเพิ่มขึ้นเพื่อควบคุมความเจ็บปวด และเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์

เราเปรียบเทียบและสรุปผลการศึกษา และประเมินความเชื่อมั่นของเราต่อหลักฐาน โดยพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น วิธีการศึกษาและขนาดของการศึกษา

เราพบอะไร

เราพบการศึกษา 29 ฉบับ มีผู้เข้าร่วม 3593 คน (อายุมากกว่า 16 ปี) ที่มีอาการปวดนิ่ว การศึกษาที่ใหญ่ที่สุดมีผู้เข้าร่วม 337 คน อายุเฉลี่ยของผู้เข้าร่วมอยู่ระหว่าง 27 ถึง 47 ปี การศึกษาดังกล่าวเกิดขึ้นใน 23 ประเทศ ระยะเวลาการศึกษาแตกต่างกันระหว่าง 30 นาทีถึง 48 ชั่วโมง การศึกษา 6 ฉบับได้รับเงินทุนสนับสนุนจากบริษัทยา และมีการศึกษา 15 ฉบับที่ไม่ได้รายงานแหล่งที่มาของเงินทุน

เราพบว่า NSAID อาจมีประสิทธิผลมากกว่ายาหลอกในการลดอาการปวดนิ่ว

การให้ Ibuprofen ทางเส้นเลือด อาจจะดีกว่าการให้ Ketorolac ทางเส้นเลือดในการบรรเทาอาการปวดภายใน 30 นาที ยา Pirprofen อาจทำให้ความจำเป็นในการใช้ยาเพิ่มเติมลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับ ยา Indomethacin

ไม่ว่า NSAID จะถูกให้ทางกล้ามเนื้อหรือทางเส้นเลือดดำก็อาจมีความแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือแทบไม่มีผลเลยในการช่วยลดอาการปวดไต อย่างไรก็ตาม เส้นทางการฉีดเข้าเส้นเลือดอาจจะดีกว่าการให้ทางทวารหนัก

สำหรับการเปรียบเทียบและผลลัพธ์อื่นๆ ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะสรุปผลใดๆ หรือหลักฐานชี้ให้เห็นว่าไม่มีความแตกต่างระหว่างการรักษา

เราไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะสรุปผลอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ NSAID ในการรักษาอาการปวดไต

ข้อจำกัดของหลักฐานคืออะไร

ความเชื่อมั่นของเราต่อหลักฐานส่วนใหญ่ต่ำถึงต่ำมากและผลลัพธ์ของการวิจัยเพิ่มเติมอาจแตกต่างจากผลลัพธ์ของการทบทวนวรรณกรรมนี้ การศึกษาไม่ได้รายงานข้อมูลที่เราสามารถใช้ได้ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับความเสี่ยงต่ออันตราย) หรือให้ผลลัพธ์ที่เรามีความเชื่อมั่นน้อยมาก การศึกษาเหล่านี้มีขนาดเล็กหรือใช้วิธีการที่อาจก่อให้เกิดข้อผิดพลาดในผลลัพธ์ได้

หลักฐานนี้เป็นปัจจุบันแค่ไหน

หลักฐานเป็นปัจจุบันถึงวันที่ 25 สิงหาคม 2023

บทนำ

โรคนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะเป็นโรคที่พบบ่อยและมีอุบัติการณ์เพิ่มขึ้นทั่วโลก มักมีอาการปวดนิ่ว ซึ่งมีลักษณะปวดท้องเฉียบพลันและรุนแรง ขั้นตอนแรกในการจัดการกับอาการปวดนิ่วคือการควบคุมความเจ็บปวด มีการใช้ยาหลายชนิด เช่น ยาเสพติด ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ยาคลายกล้ามเนื้อ และอื่นๆ เพื่อรักษาอาการนี้ NSAIDs ถือเป็นยาที่ใช้กันมากที่สุดสำหรับอาการปวดนิ่ว ออกฤทธิ์โดยลดการอักเสบและลดความดันภายในระบบทางเดินปัสสาวะ การทบทวนวรรณกรรมครั้งนี้เป็นการปรับปรุงการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบของ Cochrane ก่อนหน้านี้ (Afshar 2015) ซึ่งมุ่งเน้นเฉพาะ NSAID เท่านั้น

วัตถุประสงค์

เพื่อประเมินประโยชน์และอันตรายของยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ต่างๆ สำหรับการจัดการอาการปวดในผู้ใหญ่ที่มีอาการปวดนิ่วเฉียบพลัน

วิธีการสืบค้น

เราได้ดำเนินการค้นหาอย่างครอบคลุมใน Cochrane Library, MEDLINE, Embase, Google Scholar, ทะเบียนการทดลอง และ รายงานการประชุมทางวิชาการ จนถึงวันที่ 25 สิงหาคม 2023 เราไม่มีข้อจำกัดเรื่องภาษาหรือสถานะการตีพิมพ์เผยแพร่

เกณฑ์การคัดเลือก

เราได้รวบรวมงานวิจัยแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม (RCTs) หรือแบบกึ่งสุ่ม ที่ประเมินประสิทธิผลของยากลุ่ม NSAIDs ในการจัดการอาการปวดจนิ่ว ในผู้ป่วยผู้ใหญ่ (กล่าวคือ ผู้เข้าร่วมการศึกษาที่มีอายุมากกว่า 16 ปี) เราได้รวบรวมการศึกษาที่เปรียบเทียบระหว่างยา NSAIDs กับยาหลอก, ยา NSAIDs ต่างชนิดกัน, หรือการใช้ยา NSAIDs ชนิดเดียวกันในขนาดหรือช่องทางการให้ยาที่แตกต่างกัน

การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล

ผู้ประพันธ์การทบทวนวรรณกรรม 2 คนเลือกและดึงข้อมูลจากรายงานการศึกษาที่รวบรวมได้อย่างเป็นอิสระต่อกัน ผลลัพธ์หลัก ได้แก่ ระดับความปวดภายใน 1 ชั่วโมงหลังการรักษา (วัดผลโดยใช้เครื่องมือที่ผู้ป่วยรายงานด้วยตนเองซึ่งผ่านการรับรองมาตรฐานแล้ว), ความจำเป็นในการใช้ยาช่วยบรรเทาอาการภายใน 6 ชั่วโมงหลังการรักษา, และการเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงภายใน 1 สัปดาห์หลังการรักษา ผลลัพธ์รอง ได้แก่ การกลับมาปวดซ้ำ, อาการปวดที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ, และการเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่ไม่รุนแรง เราทำการวิเคราะห์ meta-analysis โดยใช้ random-effects model เราให้คะแนนความเชื่อมั่นของหลักฐานตามแนวทาง GRADE

ผลการวิจัย

การค้นหาของเราพบ RCTs 29 ฉบับ ที่เข้าเกณฑ์เพื่อนำมาใช้ในการทบทวนวรรณกรรมครั้งนี้ การศึกษา 29 ฉบับ มีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 3593 ราย ซึ่งได้รับการสุ่มให้รับการรักษาด้วย NSAID หรือยาหลอก อายุเฉลี่ยของผู้เข้าร่วมอยู่ระหว่าง 27 ถึง 47 ปีในแต่ละการศึกษา ผู้เข้าร่วมใช้มาตราวัดภาพอะนาล็อกขนาด 10 ซม. (VAS) เพื่อระบุระดับความเจ็บปวดของตน

NSAIDs เปรียบเทียบกับยาหลอก

NSAID อาจลดอาการปวดนิ่วได้ในเวลา 30 นาทีเมื่อเทียบกับยาหลอก (ความแตกต่างเฉลี่ย (MD) -3.84 ซม. ช่วงความเชื่อมั่น 95% (CI) -6.41 ถึง -1.27; I 2 = 95%; การศึกษา 3 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 250 ราย; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ) หลักฐานเกี่ยวกับประสิทธิผลของยากลุ่ม NSAIDs ต่อความจำเป็นในการใช้ยาช่วยเพื่อบรรเทาอาการ (rescue medication) ยังมีความไม่แน่นอนสูงมาก (risk ratio (RR) 0.24, 95% CI 0.11 ถึง 0.53; I 2 = 73%; การศึกษา 4 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 280 คน; หลักฐานมีความเชื่อมั่นในระดับต่ำมาก)

NSAID เทียบกับ NSAID

ยา Piroxicam อาจมีผลต่ออาการปวดนิ่วที่เวลา 30 นาที ไม่แตกต่างกันหรือแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับยา Diclofenac (ค่าความแตกต่างของค่าเฉลี่ย (MD) 0.01 ซม., ช่วงความเชื่อมั่น 95% อยู่ระหว่าง −1.50 ถึง 1.52; I² = 78%; การศึกษา 2 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 144 คน; หลักฐานมีความเชื่อมั่นระดับต่ำ)

ยา Parecoxib น่าจะส่งผลให้เกิดความแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยในอาการปวดนิ่วที่ 30 นาที เมื่อเปรียบเทียบกับยา Ketoprofen (MD 0.03 ซม., 95% CI −0.59 ถึง 0.65; การศึกษา 1 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 337 คน; หลักฐานมีความเชื่อมั่นระดับปานกลาง)

ยา Lornoxicam มีแนวโน้มจะส่งผลให้เกิดความแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยในอาการปวดนิ่วที่ 30 นาทีเมื่อเปรียบเทียบกับ NSAID อื่นๆ (MD −0.22 ซม., 95% CI −0.69 ถึง 0.24; I² = 12%; การศึกษา 2 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 170 คน; หลักฐานมีความเชื่อมั่นระดับปานกลาง)

ยา Ketorolac อาจทำให้เกิดความแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยในอาการปวดนิ่วที่ 60 นาที (MD 0.23 ซม., 95% CI −1.16 ถึง 1.62, การศึกษา 1 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 57 คน; หลักฐานมีความเชื่อมั่นระดับต่ำ) และความจำเป็นในการใช้ยาช่วย (rescue medication) ภายใน 120 นาที (RR 1.76, 95% CI 0.73 ถึง 4.24; I² = 0%; การศึกษา 2 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 114 คน; หลักฐานมีความเชื่อมั่นระดับต่ำ) เมื่อเปรียบเทียบกับยา Diclofenac

การให้ยา Ketorolac ทางเส้นเลือด (IV) อาจทำให้มีความแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยในอาการปวดนิ่วที่เวลา 30 นาที เมื่อเปรียบเทียบกับยา Ibuprofen ทางเส้นเลือด (MD 1.36 ซม., 95% CI 0.85 ถึง 1.87; I² = 84%; การศึกษา 2 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 361 คน; หลักฐานมีความเชื่อมั่นระดับต่ำ) การให้ยา Ketorolac ทางเส้นเลือดอาจทำให้มีโอกาสบรรเทาอาการปวดนิ่วได้อย่างมีนัยสำคัญภายใน 30 นาทีน้อยกว่า เมื่อเทียบกับการให้ยา Ibuprofen ทางเส้นเลือด (RR 0.17, 95 CI 0.04 ถึง 0.73; การศึกษา 1 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 240 คน; หลักฐานมีความเชื่อมั่นระดับต่ำ)

ยา Ketoprofen มีแนวโน้มที่จะทำให้มีความแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยในอาการปวดนิ่วที่ 30 นาทีเมื่อเทียบกับยา Diclofenac (MD -0.43 ซม., 95% CI -1.18 ถึง 0.32; การศึกษา 1 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 80 คน; หลักฐานมีความเชื่อมั่นระดับปานกลาง) หลักฐานมีความไม่เชื่อมั่นอย่างมากเกี่ยวกับผลของยา Ketoprofen ต่อการบรรเทาอาการปวดได้อย่างมีนัยสำคัญภายใน 40 นาทีเมื่อเทียบกับยา Diclofenac (RR 1.38, 95% CI 1.08 ถึง 1.78; การศึกษา 1 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 80 คน; หลักฐานมีความเชื่อมั่นระดับต่ำมาก)

ยา Indomethacin น่าจะส่งผลให้เกิดความแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยในอาการปวดนิ่วที่ 30 นาทีเมื่อเปรียบเทียบกับยา Diclofenac (MD 0.20 ซม., 95% CI −0.90 ถึง 1.30; การศึกษา 1 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 83 คน; หลักฐานมีความเชื่อมั่นระดับปานกลาง)

เมื่อเทียบกับยา Indomethacin พบว่ายา Pirprofen อาจส่งผลให้ความจำเป็นในการใช้ยาช่วย (rescue medication) ภายใน 30 นาที ลดลงอย่างมาก (RR 0.58, 95% CI 0.41 ถึง 0.82; การศึกษา 1 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 205 คน; หลักฐานมีความนเชื่อมั่นระดับต่ำ)

NSAID ที่ฉีดเข้าเส้นเลือดมีแนวโน้มว่าจะทำให้เกิดความแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยในอาการปวดไตที่ 30 นาทีเมื่อเทียบกับ NSAID ที่ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ (MD −0.34 ซม., 95% CI −1.19 ถึง 0.51; I 2 = 42%; การศึกษา 2 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 134 คน; หลักฐานมีความเชื่อมั่นระดับปานกลาง)

NSAID ที่ฉีดเข้าเส้นเลือดอาจลดความจำเป็นในการใช้ยาช่วยภายใน 30 นาทีเมื่อเทียบกับ NSAID ที่ให้ทางวทวารหนัก (RR 0.35, 95% CI 0.14 ถึง 0.88; การศึกษา 1 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 116 คน; หลักฐานมีความเชื่อมั่นระดับต่ำ)

หลักฐานเกี่ยวกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากยากลุ่ม NSAIDs นั้นยังไม่ชัดเจน

ความเสี่ยงของการมีอคติ

เราตัดสินว่าความเสี่ยงของการมีอคติ ในการศึกษาอยู่ในระดับปานกลางถึงสูง ทั้งนี้เนื่องมาจากสัดส่วนที่สูงของการประเมินความเสี่ยงในระดับที่ไม่ชัดเจนสำหรับอคติจากการปกปิดการจัดสรร (concealment bias) และความเสี่ยงที่สูงของอคติจากการรายงานผลแบบเลือกสรร (selective reporting bias)

ข้อสรุปของผู้วิจัย

NSAID อาจลดอาการปวดในผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่มีอาการปวดนิ่ว เมื่อเทียบกับยาหลอก เมื่อเปรียบเทียบ NSAID แต่ละชนิดกับชนิดอื่น พบว่า ยา Ketorolac ทางเส้นเลือดอาจมีประสิทธิผลน้อยกว่ายา Ibuprofen ทางเส้นเลือด และ ยา Pirprofen อาจทำให้มีความจำเป็นต้องใช้ยาช่วยน้อยกว่า ยา Indomethacin การให้ยาทางเส้นเลือดดำน่าจะคล้ายคลึงกับเส้นทางการให้ยาเข้ากล้ามเนื้อแต่อาจจะดีกว่าเส้นทางการให้ยาทางทวารหนัก หลักฐานเกี่ยวกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากยากลุ่ม NSAIDs นั้นยังไม่ชัดเจน เราไม่สามารถดำเนินการวิเคราะห์กลุ่มย่อยตามเกณฑ์ที่เรากำหนดไว้ล่วงหน้าได้เนื่องจากไม่มีการศึกษาที่เข้าเกณฑ์

บันทึกการแปล

ผู้แปล ศ.นพ.ภิเศก ลุมพิกานนท์ ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น วันที่ 21 เมษายน 2025 Edit โดย พ.ญ. ผกากรอง ลุมพิกานนท์ 20 มิถุนายน 2025

Citation
Afshar K, Gill J, Mostafa H, Noparast M. Nonsteroidal anti-inflammatory drugs (NSAIDs) for acute renal colic. Cochrane Database of Systematic Reviews 2025, Issue 3. Art. No.: CD006027. DOI: 10.1002/14651858.CD006027.pub3.