ยาปฏิชีวนะสำหรับรักษาโรคหนองในในสตรีตั้งครรภ์

คำถามคืออะไร
โรคหนองใน คือ การติดเชื้อที่เกิดจาก เชื้อแบคทีเรีย Neisseria gonorrhoeae และเป็นความท้าทายด้านสาธารณสุขที่สำคัญ มักแพร่กระจายระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ (เช่น การมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด, ออรัลเซ็กส์ หรือการมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก) แต่ยังสามารถแพร่กระจายจากสตรีตั้งครรภ์ไปยังทารกในระหว่างการคลอดได้ สตรีมักไม่มีอาการของโรคหนองใน Neisseria gonorrhoeae สามารถแพร่กระจาย (แพร่กระจาย) จากบริเวณเริ่มต้นเข้าสู่กระแสเลือดและทำให้เกิดการติดเชื้อของอวัยวะอื่น ๆ อาการของการติดเชื้อ gonococcal ที่แพร่กระจาย ได้แก่ ผื่นไข้ปวดข้อ, การติดเชื้อของข้อต่อ และการอักเสบของเส้นเอ็น, เยื่อบุหัวใจด้านใน (เยื่อบุหัวใจอักเสบ) และเยื่อหุ้มสมอง และไขสันหลัง (เยื่อหุ้มสมองอักเสบ) เพื่อประเมินประสิทธิผลทางคลินิก และอันตรายของยาปฏิชีวนะที่ใช้ในการรักษาโรคหนองในในสตรีตั้งครรภ์

การทบทวนนี้เป็นการปรับปรุงการทบทวนวรรณกรรมก่อนหน้าที่เผยแพร่ไปแล้ว

ทำไมเรื่องนี้จึงมีความสำคัญ
โรคหนอง ในอาจทำให้เกิดปัญหากับทั้งสตรีตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ มีความเกี่ยวข้องกับการคลอดก่อนกำหนด, ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด, ทารกน้ำหนักตัวน้อย, และการอักเสบของเยื่อบโพรงมดลูก (endometritis) หลังคลอดบุตร ทารกอาจติดเชื้อได้ระหว่างการคลอด และบางครั้งอาจเกิดจากการแพร่กระจายของเชื้อก่อนคลอด ถ้าถุงน้ำคร่ำแตกก่อนมีการคลอด ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการติดเชื้อที่ตา (ophthalmia neonatorum - การติดเชื้อที่ตาในระหว่างการคลอด) เมื่อทารกคลอดทางช่องคลอด

เราพบอะไร
เราค้นหาหลักฐานในเดือนเมษายน 2017 และพบการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม 2 รายการ ซึ่งดำเนินการในแผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลเดียวกันสองแห่งในสหรัฐอเมริการะหว่างปี 1993 ถึง 2001 การทดลอง 1 รายการ ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทยา เราได้รวมการทดลอง ซึ่งมีสตรีตั้งครรภ์ 514 คน (นำข้อมูลมาวิเคราะห์ 347 คน) ที่อายุครรภ์เฉลี่ย 22 สัปดาห์ การทดลองทั้งสองมีการติดตามผล 14 วัน

เราไม่สามารถรวมผลลัพธ์ได้เนื่องจากการทดลองใช้การเปรียบเทียบที่แตกต่างกัน การทดลอง 1 รายการ เปรียบเทียบ ceftriaxone (125 มก.,ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ) กับ cefixime (400 มก., รับประทานทางปาก) และการทดลองอื่น ให้ปริมาณยา ceftriaxone ที่สูง (250 มก., ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ) เทียบกับ amoxicillin (3 กรัม, รับประทานทางปาก) ร่วมกับ probenecid (1 กรัม, รับประทานทางปาก) หรือ spectinomycin (2 กรัม, ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ) เราไม่ได้รวมข้อมูล spectinomycin เนื่องจากไม่มีการผลิตยานี้แล้ว

เราไม่พบความแตกต่างที่ชัดเจนในอัตราการรักษาการติดเชื้อ gonococcal (ทั้งที่อวัยวะเพศ และไม่เกี่ยวข้องกับอวัยวะสืบพันธุ์) สำหรับกลุ่มการรักษาที่แตกต่างกันซึ่งอยู่ระหว่าง 89% ถึง 96% (หลักฐานมีคุณภาพต่ำมาก)

การทดลองไม่ได้รายงานเกี่ยวกับอุบัติการณ์ของภาวะแทรกซ้อนทางสูติศาสตร์, การติดเชื้อ gonococcal ที่แพร่กระจายในมารดา หรือโรคตา (ophthalmia neonatorum) ในทารก

มีการรายงานข้อมูลเล็กน้อยเกี่ยวกับผลข้างเคียงของสูตรยาปฏิชีวนะ การทดลอง 1 รายการ รายงานว่า มีการอาเจียน 1 ราย ในกลุ่ม amoxicillin และ probenecid แบบรับประทาน การทดลองรายงาน ความเจ็บปวดบริเวณที่ฉีด แต่ไม่ได้วัดความรุนแรงของความปวด ภาวะ hyperberbilurrubinemia (ทารกมีบิลิรูบินในเลือดมากเกินไป) พบได้บ่อยในทารกแรกเกิดที่มารดาได้รับ ceftriaxone ไม่พบความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างกลุ่ม สำหรับความผิดปกติของทารกแรกเกิด

สิ่งนี้หมายความว่าอะไร
เราพบว่าการรักษาหายพบได้สูงมากจากการรักษาการติดเชื้อ gonococcal ในการตั้งครรภ์ด้วยสูตรยาปฏิชีวนะที่กำหนด แต่นี่ก็ยังไม่ใช่หลักฐานที่เพียงพอที่จะสนับสนุนว่าวิธีการใดที่ดีกว่าวิธีอื่น

แม้จะมีการรักษาหายได้ในระดับสูง แต่ความเชื่อมั่นของเราในผลลัพธ์ของการตรวจสอบนี้ยังต่ำมาก เนื่องจากการทดลองทั้งสองรายการมีขนาดเล็ก, สตรีไม่ได้รับการปกปิดเรื่องการรักษาและมีการถอนตัวออกจากการทดลองจำนวนมาก (28% และ 41%) ซึ่งหมายความว่า มีความเสี่ยงของการมีอคติสูง ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องทำการทดลองที่มีคุณภาพสูงเพื่อประเมินประสิทธิผลทางคลินิก และอันตรายที่อาจเกิดขึ้นของยาปฏิชีวนะในการรักษาโรคหนองในในสตรีตั้งครรภ์

ข้อสรุปของผู้วิจัย: 

การทบทวนวรรณกรรมนี้ พบว่ามีการรักษาการติดเชื้อ gonococcal ในการตั้งครรภ์ หายได้มากด้วยสูตรยาปฏิชีวนะที่กำหนด อย่างไรก็ตามหลักฐานในการทบทวนวรรณกรรมนี้ยังสรุปไม่ได้เนื่องจากไม่สนับสนุนสูตรยาแบบใดแบบหนึ่งโดยเฉพาะ ข้อสรุปนี้มาจากหลักฐานที่มีคุณภาพต่ำมาก (ลดระดับลงสำหรับการออกแบบการทดลองที่ไม่ดี และมีความไม่แม่นยำ) จากการทดลอง 2 รายการ (เกี่ยวข้องกับสตรี 514 คน) ซึ่งเราประเมินว่ามีความเสี่ยงของการมีอคติสูงสำหรับหลายโดเมน รูปแบบความเป็นอันตรายของระบบการใช้ยาปฏิชีวนะในการทบทวนนี้ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด

จำเป็นต้องมี RCTs ที่มีคุณภาพสูง ซึ่งมีขนาดใหญ่เพียงพอในการประเมินประสิทธิผลทางคลินิก และอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากยาปฏิชีวนะในสตรีตั้งครรภ์ที่เป็นโรคหนองใน สิ่งเหล่านี้ควรได้รับการวางแผนตามรายการแนวปฏิบัติมาตรฐาน: คำแนะนำสำหรับ Interventional Trials (SPIRIT) ดำเนินการตามคำแนะนำ CONSORT และ Patient-Centered Outcomes Research Institute (PCORI) outcomes

อ่านบทคัดย่อฉบับเต็ม
บทนำ: 

โรคหนองในเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจาก Neisseria gonorrhoeae และเป็นความท้าทายด้านสาธารณสุขที่สำคัญในปัจจุบัน N gonorrhoeae สามารถติดต่อจากระบบสืบพันธุ์ของมารดาไปยังทารกแรกเกิดในระหว่างการคลอดและอาจทำให้เกิด gonococcal ophthalmia neonatorum รวมทั้งการติดเชื้อที่แพร่กระจายในทารกแรกเกิด นอกจากนี้ยังสามารถทำให้เกิดเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบและภาวะติดเชื้อในอุ้งเชิงกรานในมารดา การทบทวนนี้เป็นการปรับปรุงการทบทวนก่อนหน้านี้เกี่ยวกับยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาการติดเชื้อนี้

วัตถุประสงค์: 

เพื่อประเมินประสิทธิผลทางคลินิกและอันตรายของยาปฏิชีวนะในการรักษาโรคหนองในในสตรีตั้งครรภ์

วิธีการสืบค้น: 

เราสืบค้นจาก Cochrane Pregnancy and Childbirth Group (31 พฤษภาคม 2017), ฐานข้อมูล LILACS (1982 ถึง 5 เมษายน 2017), WHO International Clinical Trials Registry Platform (ICTRP; 5 เมษายน 2017), ClinicalTrials.gov (5 เมษายน 2017), ISRCTN Registry (5 เมษายน 2017) และ Epistemonikos (5 เมษายน 2017) นอกจากนี้เรายังค้นหารายการอ้างอิงของบทความที่ดึงมาทั้งหมด

เกณฑ์การคัดเลือก: 

เรารวมการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม (RCTs) เปรียบเทียบการใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษาโรคหนองในในสตรีตั้งครรภ์ ยาปฏิชีวนะสามารถใช้เพียงอย่างเดียวหรือใช้ร่วมกันได้ โดยได้รับการบริหารยาทางการฉีดเข้าหลอดเลือด รับประทาน หรือทั้งสองอย่าง และเปรียบเทียบกับยาปฏิชีวนะตัวอื่น

เรารวม RCT ไว้โดยไม่คำนึงถึงสถานะการตีพิมพ์ (เผยแพร่, ไม่เผยแพร่, เผยแพร่เป็นบทความ, บทคัดย่อ หรือเป็นจดหมาย) ภาษา หรือประเทศ เราไม่จำกัดระยะเวลาในการติดตามผล

เราไม่รวม RCT ที่มีการออกแบบเป็น cluster หรือ cross-over design หรือ quasi-RCTs

การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล: 

ผู้ทบทวนวรรณกรรมสามคนประเมินการทดลองอย่างอิสระต่อกัน เพื่อรวบรวมการทดลอง และประเมินความเสี่ยงของการมีอคติ, ดึงข้อมูล และตรวจสอบความถูกต้อง

ผลการวิจัย: 

เราได้รวม RCTs 2 รายการ โดยสุ่มตัวอย่างสตรีตั้งครรภ์ 514 คน (นำข้อมูลมาวิเคราะห์ 347 คน) ที่อายุครรภ์เฉลี่ย 22 สัปดาห์ การทดลองทั้งสองดำเนินการในแผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลเดียวกันสองแห่งในสหรัฐอเมริกา ระหว่างปี 1993 ถึง 2001 และมีการติดตามผล 14 วัน การทดลอง 1 รายการได้รับการสนับสนุนจากบริษัทยา เราถือว่าการทดลองทั้งสองมีความเสี่ยงของการมีอคติสูง

การทดลอง 1 รายการ เปรียบเทียบ ceftriaxone (125 มก.ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ) กับ cefixime (400 มก. รับประทานทางปาก); การทดลองอื่น ๆ มี 3 กลุ่มทดลอง และประเมิน ceftriaxone (250 มก. ฉีกเข้ากล้ามเนื้อ) เทียบกับ amoxicillin (3 กรัม, รับประทานทางปาก) บวก probenecid (1 กรัม, รับประทานทางปาก) หรือ spectinomycin (2 กรัม, ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ) เราไม่ได้รวมข้อมูล spectinomycin เนื่องจากไม่มีการผลิตยานี้แล้ว เราไม่สามารถทำการวิเคราะห์เมตต้าได้ เนื่องจากการทดลองเปรียบเทียบยาที่แตกต่างกัน

เราพบหลักฐาน ที่สรุปไม่ได้ว่ามีความแตกต่างที่ชัดเจนในการรักษาการติดเชื้อ gonococcal (genital, extragenital หรือทั้งสองอย่าง) ระหว่าง ceftriaxone ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ กับ amoxicillin แบบรับประทาน และ probenecid แบบรับประทาน (risk ratio (RR) 1.07, ช่วงความเชื่อมั่น 95% (CI) 0.98 ถึง 1.16 ; 1 RCT; สตรี 168 คน; หลักฐานคุณภาพต่ำมาก) หรือ ceftriaxone ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ กับ cefixime แบบรับประทาน (RR 0.99, 95% CI 0.91 ถึง 1.08; 1 RCT; สตรี 95 คน; หลักฐานคุณภาพต่ำมาก)

ไม่มีรายงานการทดลองใดๆ เกี่ยวกับผลลัพธ์หลักของมารดาในการทบทวนนี้: อุบัติการณ์ของภาวะแทรกซ้อนทางสูติกรรม (การแท้งบุตร, ถุงน้ำคร่ำแตกก่อนกำหนด, การคลอดก่อนกำหนด หรือการเสียชีวิตของทารกในครรภ์) หรือการติดเชื้อ gonococcal ที่แพร่กระจาย หรืออุบัติการณ์ของโรคตา neonatorum ophthalmia ในทารกแรกเกิด

การทดลอง 1 รายการ รายงานว่า มีการอาเจียน 1 ราย ในกลุ่ม amoxicillin และ probenecid แบบรับประทาน การทดลองรายงาน ความเจ็บปวดบริเวณที่ฉีด แต่ไม่ได้วัดปริมาณความปวด ภาวะ Hyperberbilurrubinemia พบได้บ่อยในทารกแรกเกิดที่มารดาได้รับยา ceftriaxone ไม่พบความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างกลุ่ม สำหรับความผิดปกติของทารกแรกเกิด

บันทึกการแปล: 

แปลโดย พญ.วิลาสินี หน่อแก้ว วันที่ 20 พฤษภาคม 2021

Tools
Information