การดูแลในช่วงเปลี่ยนผ่านก่อนออกจากโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยโรคจิตเภทมีประโยชน์อย่างไร

ใจความสำคัญ

– การดูแลในช่วงเปลี่ยนผ่านจากการรักษาในโรงพยาบาล (วิธีการที่สนับสนุนให้ผู้ป่วยสามารถย้ายจากการพักรักษาตัวในโรงพยาบาลมาอยู่ในชุมชน) อาจส่งผลให้การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและคุณภาพชีวิตมีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยหรือไม่ความแตกต่างมีเลย และอาจช่วยให้ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตประจำวันได้ดีขึ้นและมีความสุขกับการรักษาเมื่อกลับถึงบ้านมากขึ้น แต่เราไม่เชื่อมั่นมากเกี่ยวกับผลลัพธ์

ผลลัพธ์เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายการดำเนินโครงการในช่วงเปลี่ยนผ่านก่อนออกจากโรงพยาบาลยังไม่สามารถสรุปผลได้ และการศึกษาไม่ได้ให้ข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับการกลับเป็นซ้ำ (วิกฤตทางสุขภาพจิตใหม่) หรือผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์

– เราจำเป็นต้องมีการศึกษาที่มากขึ้นและดีขึ้นเพื่อศึกษาวิธีการสนับสนุนผู้ป่วยโรคจิตเภทหรือความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับโรคจิตเภทในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากโรงพยาบาลสู่ชุมชน

โรคจิตเภทคืออะไร

โรคจิตเภทเป็นภาวะสุขภาพจิตเรื้อรังและรุนแรง ผู้ป่วยจะมีอาการประสาทหลอน (ซึ่งผู้ป่วยจะได้ยิน เห็น ได้กลิ่น ลิ้มรส หรือรู้สึกถึงสิ่งที่ดูเหมือนจริง แต่มีอยู่เฉพาะในจิตใจเท่านั้น) และความเข้าใจผิด (มีความเชื่ออย่างแรงกล้าในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง) รวมถึงอาการอื่น ๆ ที่ทำให้ร่างกายทรุดโทรม ทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยแย่ลง ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับโรคจิตเภทจะมีอาการคล้ายกับโรคจิตเภท อาการป่วยแตกต่างกันออกไป โดยผู้ป่วยจะมีอาการต่างกันไปในแต่ละครั้ง และมักต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล

จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อผู้ป่วยโรคจิตเภทหรือความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับโรคจิตเภทออกจากโรงพยาบาล

ผู้ป่วยโรคจิตเภทหรือความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับโรคจิตเภทบางครั้งอาจต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพื่อให้สุขภาพแข็งแรงขึ้น หลังจากนั้นจึงจะได้รับอนุญาตให้กลับบ้านหรือสถานดูแลอื่น ๆ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจเป็นเรื่องยากและน่ากลัวสำหรับพวกเขาและผู้ดูแล และพวกเขาอาจต้องได้รับความช่วยเหลือในการปรับตัว มีวิธีการบางอย่างเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคจิตเภทหรือความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับโรคจิตเภทหลังจากออกจากโรงพยาบาล เช่น การจัดการโดยมีผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำหรือการดูแลต่อเนื่องโดยพยาบาล

การดูแลในช่วงเปลี่ยนผ่านก่อนออกจากโรงพยาบาลคืออะไร

การดูแลในช่วงเปลี่ยนผ่านก่อนออกจากโรงพยาบาลเป็นวิธีการที่ให้การสนับสนุนแก่ผู้ป่วยที่ออกจากโรงพยาบาลเพื่อให้สามารถครอบคลุมความต้องการทางการแพทย์ การปฏิบัติ และทางอารมณ์ได้ ขั้นตอนนี้จะเริ่มก่อนออกจากโรงพยาบาลและดำเนินต่อไปจนกว่าคนไข้จะมีความมั่นใจเมื่ออยู่บ้านหรืออยู่ในสถานดูแลแล้ว อาจรวมถึงความช่วยเหลือด้านที่อยู่อาศัย การสื่อสารและประสานงานระหว่างเจ้าหน้าที่ดูแลสุขภาพ ผู้ป่วย และครอบครัว การวางแผนการประชุม การประชุมกับครอบครัว การเยี่ยมชมชุมชน การบำบัดด้วยการพูดคุย การสนับสนุนทางโทรศัพท์และแบบพบหน้า และกลุ่มสนับสนุนที่เน้นด้านการพักผ่อนหย่อนใจ การใช้ยา การจับจ่าย การทำอาหาร และความรับผิดชอบทางการเงิน

เราต้องการค้นหาอะไร

เราต้องการทราบว่าการดูแลในช่วงเปลี่ยนผ่านจะช่วยเหลือผู้ป่วยโรคจิตเภทหรือโรคจิตเภทเมื่อออกจากโรงพยาบาลหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากการดูแลดังกล่าวจะช่วยลดอัตราการเกิดวิกฤตทางสุขภาพจิตใหม่ (การกำเริบของโรค) การเข้ารักษาซ้ำในโรงพยาบาล การใช้ชีวิตโดยรวมในชีวิตประจำวัน ความพึงพอใจกับการดูแลที่ได้รับ คุณภาพชีวิต ผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ และค่าใช้จ่าย

เราทำอะไรไปแล้วบ้าง

เราได้ค้นหาการศึกษาที่ศึกษาว่าการดูแลในช่วงเปลี่ยนผ่าน เมื่อเปรียบเทียบกับการไม่มีการดูแลในช่วงเปลี่ยนผ่านหรือการดูแลตามปกติ มีประสิทธิผลหรือไม่ในผู้ใหญ่ที่เป็นโรคจิตเภทหรือความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับโรคจิตเภท

เราค้นพบอะไร

เราพบการศึกษา 12 ฉบับ มีผู้ป่วย 1748 รายที่เปรียบเทียบการดูแลในช่วงเปลี่ยนผ่านก่อนออกจากโรงพยาบาลกับการดูแลตามปกติ

การดูแลในช่วงเปลี่ยนผ่านก่อนออกจากโรงพยาบาลอาจส่งผลต่อการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพียงเล็กน้อยหรือแทบไม่มีผลเลย (การศึกษา 4 ฉบับ, ผู้ป่วย 462 คน) การดูแลในช่วงเปลี่ยนผ่านก่อนออกจากโรงพยาบาลอาจช่วยปรับปรุงการทำงานได้ (การศึกษา 4 ฉบับ, ผู้ป่วย 437 คน) และอาจเพิ่มความพึงพอใจของผู้ป่วยต่อการดูแล (การศึกษา 1 ฉบับ, ผู้ป่วย 76 คน) แต่เราไม่เชื่อมั่นมากเกี่ยวกับผลลัพธ์ การดูแลในช่วงเปลี่ยนผ่านก่อนออกจากโรงพยาบาลอาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตเล็กน้อยหรือไม่มีผลเลย (การศึกษา 4 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 748 คน) ผลลัพธ์ในด้านค่าใช้จ่ายไม่ชัดเจนเนื่องจากการศึกษาไม่ได้รายงานวิธีการอย่างครบถ้วน (การศึกษา 1 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 124 คน) ​​

การศึกษาที่รวมอยู่นี้ไม่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการกำเริบของโรคหรือผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์จากการดูแลในช่วงเปลี่ยนผ่านจากการรักษาผู้ป่วย

ข้อจำกัดของหลักฐานคืออะไร

การศึกษาทั้ง 12 ฉบับ มีปัญหาเกี่ยวกับวิธีการและผลลัพธ์ไม่สอดคล้องกัน บางการศึกษาได้รวมผู้ป่วยโรคทางจิตชนิดอื่นไว้ด้วย ดังนั้นผลลัพธ์อาจไม่สามารถนำไปใช้กับผู้ป่วยโรคจิตเภทหรือผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับโรคจิตเภทโดยตรงได้ ดังนั้นเราจึงมีความเชื่อมั่นต่ำมากในการค้นพบของเรา

หลักฐานนี้เป็นปัจจุบันแค่ไหน

หลักฐานเป็นปัจจุบันถึงเดือนธันวาคม 2022

ข้อสรุปของผู้วิจัย: 

ในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนที่สนับสนุนหรือคัดค้านการใช้วิธีการในช่วงเปลี่ยนผ่านก่อนออกจากโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยโรคจิตเภท วิธีการในช่วงเปลี่ยนผ่านก่อนออกจากโรงพยาบาลอาจช่วยเพิ่มความพึงพอใจและการทำงานของผู้ป่วยได้ แต่หลักฐานนี้ยังคงไม่เชื่อมั่นอย่างมากเช่นกัน สำหรับการวิจัยในอนาคต สิ่งสำคัญคือการปรับปรุงคุณภาพการดำเนินการและการรายงานการทดลองเหล่านี้ รวมถึงการใช้เครื่องมือที่ผ่านการตรวจสอบแล้วในการวัดผลลัพธ์

อ่านบทคัดย่อฉบับเต็ม
บทนำ: 

โรคจิตเภทเป็นโรคทางจิตเรื้อรัง มีลักษณะอาการหลงผิด ประสาทหลอน และความบกพร่องทางการทำงานและทางสังคมที่สำคัญ วิธีการที่ระบุว่าเป็น 'ช่วงเปลี่ยนผ่าน' จะเป็นการเพิ่มเข้าไปในแผนการดูแลที่จัดทำขึ้นระหว่างที่อยู่ในโรงพยาบาลเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการออกจากโรงพยาบาล นอกจากนี้ยังรวมถึงวิธีการที่พัฒนาขึ้นหลังจากการออกจากโรงพยาบาลเพื่อสนับสนุนผู้ป่วยทางจิตที่ร้ายแรงขณะที่พวกเขาเปลี่ยนผ่านจากโรงพยาบาลไปสู่ชุมชน วิธีการในช่วงเปลี่ยนผ่านก่อนออกจากโรงพยาบาลอาจคาดการณ์ความต้องการในอนาคตของผู้ป่วยหลังจากการออกจากโรงพยาบาลได้ โดยการประสานงานกับระบบสุขภาพในระดับต่าง ๆ ที่สามารถรับประกันความต่อเนื่องของการดูแลในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งนี้เกิดขึ้นผ่านการจัดให้มีความสัมพันธ์ในการบำบัดซึ่งให้ความปลอดภัยตลอดกระบวนการออกจากโรงพยาบาล ผู้ป่วยและการบูรณาการกลับเข้าสู่ชุมชนเพื่อปรับปรุงสภาพทั่วไปของผู้ใช้บริการ ระดับการทำงาน การใช้ทรัพยากรด้านสุขภาพ และความพึงพอใจในการดูแล

วัตถุประสงค์: 

เพื่อประเมินวิธีการในช่วงเปลี่ยนผ่านก่อนออกจากโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยโรคจิตเภท

วิธีการสืบค้น: 

เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2022 เราได้ค้นหา Cochrane Schizophrenia Group's Study-Based Register of Trials ซึ่งมีพื้นฐานมาจาก CENTRAL, MEDLINE, Embase, PubMed, CINAHL, ClinicalTrials.gov, ISRCTN, PsycINFO และ WHO ICTRP

เกณฑ์การคัดเลือก: 

การทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม (randomized controlled trials; RCT) ที่ประเมินผลของวิธีการในช่วงเปลี่ยนผ่านก่อนออกจากโรงพยาบาลในผู้ป่วยโรคจิตเภทและความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับโรคจิตเภท วิธีการที่เข้าเกณฑ์ประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก 3 ประการ ได้แก่ การวางแผนก่อนออกจากโรงพยาบาล การประสานงานการดูแลและการติดตาม และการสนับสนุนหลังออกจากโรงพยาบาล

การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล: 

เราใช้วิธีตามมาตรฐานของ Cochrane ผลลัพธ์ของการตรวจสอบนี้ได้แก่ สถานะโดยรวม (การกลับเป็นซ้ำ) การใช้บริการ (การรักษาในโรงพยาบาล) การทำงานทั่วไป ความพึงพอใจในการดูแล ผลข้างเคียง/เหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ คุณภาพชีวิต และต้นทุนโดยตรง สำหรับผลลัพธ์แบบสองตัวเลือก (binary) เราคำนวณ risk ratios (RRs) และช่วงความเชื่อมั่น 95% (confidence intervals; CIs) สำหรับผลลัพธ์ที่ต่อเนื่อง เราคำนวณค่า mean difference (MD) หรือ standardized mean difference (SMD) และค่า CI 95% ของค่าเหล่านี้ เราใช้ GRADE เพื่อประเมินความเชื่อมั่นของหลักฐาน

ผลการวิจัย: 

เราพบการศึกษา 12 ฉบับ โดยมีผู้เข้าร่วม 1748 ราย เปรียบเทียบวิธีการในช่วงเปลี่ยนผ่านก่อนออกจากโรงพยาบาลกับการดูแลตามปกติ ทั้งหมดเป็นการศีกษาแบบ parallel-group RCTs ไม่มีการศึกษาที่ประเมินสถานะโดยรวม (การกลับเป็นซ้ำ) หรือรายงานข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์/ผลที่ไม่พึงประสงค์ การศึกษาทั้งหมดมีความเสี่ยงของการมีอคติสูง ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากข้อกังวลที่สำคัญเกี่ยวกับการปกปิดการจัดสรร การเบี่ยงเบนจากวิธีการที่ตั้งใจ การวัดผลลัพธ์ และการขาดข้อมูลผลลัพธ์

วิธีการในช่วงเปลี่ยนผ่านก่อนออกจากโรงพยาบาลอาจทำให้การใช้บริการ (การรักษาในโรงพยาบาล) แตกต่างกันเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีความแตกต่างเลยในการติดตามในระยะสั้นและระยะยาว แต่หลักฐานยังคงไม่เชื่อมั่นอย่างมาก (RR 1.18, 95% CI 0.55 ถึง 2.50; I 2 = 54%; การศึกษา 4 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 462 ราย; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก) วิธีการในช่วงเปลี่ยนผ่านก่อนออกจากโรงพยาบาลอาจเพิ่มระดับการทำงานหลังจากการออกจากโรงพยาบาล (การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญทางคลินิกในการทำงานโดยทั่วไป) (SMD 0.95, 95% CI −0.06 ถึง 1.97; I² = 95%; การศึกษา 4 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 437 คน; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก) และอาจเพิ่มสัดส่วนของผู้เข้าร่วมที่พึงพอใจกับวิธีการที่ใช้ (การเปลี่ยนแปลงความพึงพอใจที่สำคัญทางคลินิก) (RR 1.96, 95% CI 1.37 ถึง 2.80; การศึกษา 1 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 76 คน; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก) แต่สำหรับผลลัพธ์ทั้งสองประการนี้ หลักฐานยังคงไม่เชื่อมั่นอย่างมาก วิธีการในช่วงเปลี่ยนผ่านก่อนออกจากโรงพยาบาลอาจทำให้คุณภาพชีวิตมีความแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยเมื่อเทียบกับการรักษาตามปกติ (SMD 0.24, 95% CI −0.30 ถึง 0.78; I² = 90%; การศึกษา 4 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 748 คน; หลักฐานความั่นต่ำมาก) แต่เรามีความไม่เชื่อมั่นอย่างมาก สำหรับต้นทุนโดยตรง มีการศึกษา 1 ฉบับ ซึ่งมีผู้เข้าร่วม 124 รายไม่ได้รายงานรายละเอียดครบถ้วน ดังนั้นผลลัพธ์จึงยังไม่สามารถสรุปผลได้

บันทึกการแปล: 

แปลโดย ศ.นพ.ภิเศก ลุมพิกานนท์ ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น วันที่ 14 ตุลาคม 2024 Edit โดย ศ.พ.ญ. ผกากรอง ลุมพิกานนท์ 10 มกราคม 2025

Tools
Information