Probiotics สำหรับการป้องกันการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในผู้ใหญ่และเด็ก

ความเป็นมา

การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (UTIs) เกิดขึ้นในไต ท่อไต ท่อปัสสาวะ หรือกระเพาะปัสสาวะ UTIs เป็นหนึ่งในการติดเชื้อแบคทีเรียที่พบบ่อยที่สุดและอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพอื่นๆ

โปรไบโอติก (จุลินทรีย์ที่มีชีวิตซึ่งเมื่อให้ในปริมาณที่เพียงพอ ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพแก่เจ้าบ้าน) คิดว่าจะทำงานโดยป้องกันแบคทีเรียที่ติดเชื้ออื่นๆ จากการเข้ามาทางเดินปัสสาวะและทำให้เกิดการติดเชื้อ เราสนใจที่จะศึกษารูปแบบของโปรไบโอติก (แบคทีเรียที่ใช้เปลี่ยนความสมดุลของแบคทีเรีย) เปรียบเทียบกับการไม่รักษา การใช้ยาปฏิชีวนะ ฮอร์โมนบำบัด น้ำแครนเบอร์รี่ หรือการแทรกแซงอื่นๆ ในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ เพื่อประเมินว่าโปรไบโอติกมีประสิทธิภาพหรือไม่ เราวางแผนที่จะวัดจำนวนคนที่ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะซ้ำ

ลักษณะของการศึกษา

เราดำเนินการค้นหาวรรณกรรมจนถึงเดือนกันยายน 2015 และพบ 9 การศึกษาที่เข้าเกณฑ์การคัดเลือกของเรา มี 9 การศึกษารายงานข้อมูลเกี่ยวกับผู้เข้าร่วม 735 คนและตรวจสอบโปรไบโอติกในการป้องกัน UTI: 7 การศึกษา มีสตรีหรือเด็กหญิงที่เป็นโรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะซ้ำ มี 1 การศึกษาที่ศึกษาในเด็กที่มีระบบทางเดินปัสสาวะผิดปกติและ 1 การศึกษา ที่ดูเรื่องการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะในสตรีที่มีสุขภาพดี

ผลลัพธ์สำคัญ

โดยทั่วไป การศึกษามีคุณภาพต่ำและมีความเสี่ยงของการมีอคติสูง นอกจากประชากรที่ต่างกันแล้ว ยังมีการใช้โปรไบโอติกหลายชนิด รูปแบบขนาดยาที่แตกต่างกัน เช่น ทางช่องคลอดและทางปาก และการให้โปรไบโอติกในระยะเวลาที่แตกต่างกัน ปัจจัยทั้งหมดเหล่านี้อาจส่งผลต่อผลลัพธ์ของเรา

การศึกษาส่วนใหญ่ไม่ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผลข้างเคียง เราจึงไม่สามารถประมาณอันตรายใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบำบัดด้วยโปรไบโอติกได้ เราพบว่าไม่มีการลดลงของความเสี่ยงต่อการเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ ที่มีอาการซ้ำระหว่างผู้ป่วยที่ได้รับโปรไบโอติกและยาหลอก และไม่พบการลดลงอย่างมีนัยสำคัญในความเสี่ยงของการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ที่มีอาการซ้ำระหว่างโปรไบโอติกกับผู้ป่วยที่ได้รับยาปฏิชีวนะ

คุณภาพของหลักฐาน

หลักฐานที่มีอยู่ในปัจจุบันแสดงให้เห็นว่าไม่มีการลดลงของการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะโดยใช้โปรไบโอติก

ข้อสรุปของผู้วิจัย: 

โปรไบโอติกส์ไม่ได้แสดงให้เห็นประโยชน์ที่มีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับยาหลอกหรือการรักษาใดๆ แต่ไม่สามารถตัดผลประโยชน์ออกได้เนื่องจากมีข้อมูลน้อย และได้มาจากการศึกษาขนาดเล็กที่มีการรายงานวิธีการที่ไม่ดี

มีข้อมูลจำกัดเกี่ยวกับอันตรายและการตายจากโปรไบโอติก และไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับผลกระทบของโปรไบโอติกต่อเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่ร้ายแรง หลักฐานปัจจุบันไม่สามารถแยกแยะการลดลงหรือเพิ่มขึ้นของ การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะที่เกิดซ้ำในสตรีที่มการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะที่เกิดซ้ำซึ่งใช้โปรไบโอติกเพื่อป้องกันโรค มีหลักฐานไม่เพียงพอจาก RCT 1 การศึกษา ที่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผลของโปรไบโอติกกับยาปฏิชีวนะ

อ่านบทคัดย่อฉบับเต็ม
บทนำ: 

การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (UTI) เป็นการติดเชื้อแบคทีเรียที่พบได้บ่อยแต่สามารถทำให้เกิดความเจ็บปวดได้ ซึ่งรวมถึง การตีบ การเกิดหนอง การเกิดรูรั่ว การติดเชื้อเข้ากระแสเลือด การติดเชื้อรุนแรง กรวยไตอักเสบและไตไม่ทำงาน อัตราการตายที่รายงานสูงถึง 1% ในผู้ชาย และ 3% ในสตรี ซึ่งขึ้นกับการพัฒนาเป็น กรวยไตอักเสบ เนื่องจากการรักษาด้วยโปรไบโอติกนั้นหาได้ง่ายโดยไม่ต้องมีใบสั่งยา การทบทวนประสิทธิภาพในการป้องกันโรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะอาจช่วยผู้บริโภคในการตัดสินใจเกี่ยวกับการรักษาด้วยการป้องกันที่เป็นไปได้ สถาบันและผู้ดูแลผู้ป่วยยังต้องการบทสรุปจากหลักฐานปัจจุบันที่มีหลักฐานเป็นพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจในการดูแลผู้ป่วยอย่างมีข้อมูล

วัตถุประสงค์: 

เมื่อเทียบกับยาหลอกหรือไม่มีการรักษา โปรไบโอติก (สูตรใด ๆ ) ให้ประโยชน์ในการรักษาในแง่ของการเจ็บป่วยและการตาย เมื่อใช้เพื่อป้องกัน UTI ในประชากรผู้ป่วยที่อ่อนแอหรือไม่

เมื่อเทียบกับการให้ยาป้องกันอื่น ๆ รวมทั้งการใช้ยาและมาตรการที่ไม่ใช่ยา (เช่น การให้ยาปฏิชีวนะแบบต่อเนื่อง เอสโตรเจนเฉพาะที่ น้ำแครนเบอร์รี่) โปรไบโอติก (สูตรใดๆ ก็ตาม) ให้ความได้เปรียบในการรักษาในแง่ของการเจ็บป่วยและการตายเมื่อใช้เพื่อป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะในผู้ป่วยกลุ่มที่อ่อนแอ

วิธีการสืบค้น: 

เราได้สืบค้นใน Cochrane Kidney และ Transplant Specialised Register (จนถึงวันที่ 21 กันยายน 2015) ผ่านการติดต่อกับผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลโดยใช้ข้อความค้นหาที่เกี่ยวข้องกับการทบทวนนี้

เกณฑ์การคัดเลือก: 

การทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม (RCTs) ของผู้ป่วยที่อ่อนแอ (เช่น ประวัติ UTI ในอดีต) หรือคนที่มีสุขภาพดีซึ่งมีการเปรียบเทียบสายพันธุ์ สูตร ปริมาณ หรือความถี่ของโปรไบโอติกใดๆ กับยาหลอกหรือตัวเปรียบเทียบที่มีฤทธิ์

การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล: 

RCTs และ quasi-RCT ทั้งหมด (RCTs ซึ่งได้รับการจัดสรรเพื่อการรักษาโดยสลับกัน การใช้เวชระเบียนสำรอง วันเดือนปีเกิด หรือวิธีการคาดการณ์อื่นๆ) ที่เปรียบเทียบโปรไบโอติกกับการไม่รักษา ยาหลอก หรือการให้ยาป้องกันอื่นๆ ได้รับกับนำเข้าในการทบทวนนี้ สรุปการประมาณผลกระทบโดยใช้ random-effects model และผลการศึกษาสำหรับข้อมูลแบบ dichotomous นำเสนอด้วย risk ratio และช่วงเชื่อมั่น 95% (CI)

ผลการวิจัย: 

เรารวบรวม 9 การศึกษาที่เกี่ยวข้องกับ 735 คน ในการทบทวนนี้ มี 4 การศึกษาเปรียบเทียบโปรไบโอติกกับยาหลอก มี 2 การศึกษาเปรียบเทียบโปรไบโอติกกับกลุ่มไม่มีการรักษา มี 2 การศึกษา เปรียบเทียบโปรไบโอติกกับยาปฏิชีวนะในผู้ป่วย UTI และมี 1 การศึกษาเปรียบเทียบโปรไบโอติกกับยาหลอกในสตรีที่มีสุขภาพดี ทุกการศึกษามีจุมุ่งหมายเพื่อวัดความแตกต่างของอัตราการกลับเป็นซ้ำของ UTI

ความเสี่ยงในการประเมินอคติของเรา พบว่าการศึกษาส่วนใหญ่มีขนาดตัวอย่างที่เล็กและการรายงานรายละเอียดระเบียบวิธีไม่เพียงพอเพื่อให้สามารถประเมินได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยรวมแล้ว มีความเสี่ยงสูงที่จะมีอคติในการศึกษาที่รวบรวมมา ซึ่งนำไปสู่การไม่สามารถสรุปผลที่ชัดเจน และแนะนำว่ารายงานผลการรักษาใดๆ ที่รายงานอาจทำให้เข้าใจผิดหรือแสดงถึงการประเมินค่าสูงไป

เราพบว่าไม่มีการลดความเสี่ยงต่อการเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ ที่มีอาการซ้ำระหว่างผู้ป่วยที่ได้รับโปรไบโอติกและยาหลอก ( 6 การศึกษา, ผู้เข้าร่วม 352 คน: RR 0.82, 95% CI 0.60 ถึง 1.12; I 2 = 23%) โดยมีช่วงความเชื่อมั่นที่กว้าง และความแตกต่างทางสถิติต่ำ ไม่พบการลดความเสี่ยงของการติดเชื้อแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ ที่มีอาการกำเริบอย่างมีนัยสำคัญระหว่างผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยโปรไบโอติกและยาปฏิชีวนะ (1 การศึกษา, ผู้เข้าร่วม 223 คน: RR 1.12, 95% CI 0.95 ถึง 1.33)

ผลข้างเคียงที่รายงานบ่อยที่สุด ได้แก่ อาการท้องร่วง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก และอาการทางช่องคลอด ไม่มีการศึกษาใดที่รายงานจำนวนผู้เข้าร่วมที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะที่ไม่มีอาการอย่างน้อย 1 รายการ การตายจากทุกสาเหตุ หรือผู้ที่มีอย่างน้อย 1 เหตุการณ์ที่ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราในกระแสเลือด มี 2 การศึกษารายงานการถูกถอดการศึกษาเนื่องจากเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์และจำนวนผู้เข้าร่วมที่ประสบกับเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์อย่างน้อย 1 เหตุการณ์ มี 1 การศึกษา รายงานการถอนตัวเกิดขึ้นในผู้เข้าร่วมโปรไบโอติก 6 คน (ร้อยละ 5.2%) ผู้เข้าร่วมยาปฏิชีวนะ 15 คน (12.2%) ในขณะที่การศึกษาที่ 2 ระบุว่าผู้เข้าร่วมกลุ่มที่ได้รับยาหลอกหนึ่งคนหยุดการรักษาเนื่องจากเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์

บันทึกการแปล: 

แปลโดย พญ.วิลาสินี หน่อแก้ว

Tools
Information