ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

อะไรคือหลักฐานที่แสดงว่า 'miroclots' ทำให้เกิดกลุ่มอาการหลังโควิด-19 และการกำจัดโดยใช้พลาสมาฟีเรซิสนั้นสมเหตุสมผลหรือไม่

ใจความสำคัญ

1. คำว่า 'microclots' ไม่ใช่คำที่ถูกต้องสำหรับอนุภาคที่กำลังตรวจสอบในผู้ที่เป็นโรคหลังโควิด-19 เนื่องจากมันไม่ใช่ลิ่มเลือด คำว่า 'อนุภาคอะไมลอยด์ไฟบริน (ogen)' มีความเหมาะสมมากกว่า

2. หลักฐานแสดงให้เห็นว่าอนุภาคอะไมลอยด์ไฟบริน (ogen) พบได้ในคนที่มีสุขภาพดีและผู้ที่เป็นโรคอื่นๆ ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นลักษณะเฉพาะในภาวะหลังโควิด-19

3. ผู้ป่วยไม่ควรได้รับพลาสมาฟีเรซิสสำหรับข้อบ่งชี้นี้นอกบริบทของการทดลองทางคลินิกแบบสุ่มที่มีการควบคุมด้วยยาหลอก (จำลอง) ที่ได้รับการดำเนินการอย่างเหมาะสม (การศึกษาประเภทหนึ่งที่ผู้เข้าร่วมได้รับการสุ่มให้เข้าในกลุ่มการรักษากลุ่มใดกลุ่มหนึ่งจากสองกลุ่มขึ้นไป)

เราต้องการค้นหาอะไร

ภาวะหลังโควิด-19 (บางครั้งเรียกว่า 'โควิดระยะยาว') หมายถึง ภาวะที่ผู้ป่วยประสบกับอาการต่างๆ เป็นเวลาอย่างน้อย 12 สัปดาห์หลังจากติดเชื้อโควิด-19 ครั้งแรก (เฉียบพลัน) อาการอาจมีความรุนแรงหลายระดับ ได้แก่ เหนื่อยล้า ภาวะสมองล้า ปวดศีรษะ และทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลง สาเหตุของภาวะหลังโควิด-19 (PCC) ยังเป็นประเด็นถกเถียงกันอยู่ ทฤษฎีหนึ่งก็คือว่ามันเกิดจากก้อนลิ่มเลือดเล็กๆ ที่เรียกว่า 'microclots' โดยผู้เขียนชุดการศึกษาในห้องปฏิบัติการที่ตรวจเรื่องนี้ อนุภาคที่อธิบายไว้ดูเหมือนจะมีโปรตีนที่เรียกว่าอะไมลอยด์และไฟบริน (ogen) ดังนั้นเราจึงเรียกพวกมันว่าอนุภาคอะไมลอยด์ไฟบริน (ogen) เพื่อสะท้อนถึงส่วนประกอบของพวกมัน

มีข้อเสนอแนะว่าสามารถกำจัดอนุภาคเหล่านี้ออกจากเลือดได้โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่าพลาสมาฟีเรซิส ซึ่งเลือดจะถูกนำออกจากร่างกาย และส่วนประกอบพลาสมาในเลือดของผู้ป่วยจะถูกกรองด้วยเครื่องเพื่อกำจัดอนุภาคต่างๆ หากอนุภาคเหล่านี้เกี่ยวข้องกับอาการของ PCC การเอาอนุภาคเหล่านี้ออกอาจรักษาผู้ป่วยที่มีอาการได้ เหตุผลสำหรับการรักษา PCC นี้ไม่ได้รับการพิสูจน์ และเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วย

เราทำอะไร

เราต้องการตรวจสอบทฤษฎีที่ว่าอนุภาคอะไมลอยด์ไฟบริน (ogen) อาจเป็นสาเหตุของอาการหลังโควิด-19

การทบทวนทำ 2 ขั้นตอน ดังนี้

1. การทบทวนการศึกษาในห้องปฏิบัติการที่ตรวจสอบว่าพบอนุภาคอะไมลอยด์ไฟบริน (ogen) ในตัวอย่Iางเลือดของผู้ที่มีอาการหลังโควิด-19 หรือไม่ งานวิจัยนี้มีรายละเอียดครบถ้วนในภาคผนวก 1

2. การทบทวนการทดลองแบบสุ่มที่ตรวจสอบว่าพลาสมาฟีเรซิสเป็นวิธีการรักษาที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการกำจัดอนุภาคอะไมลอยด์ไฟบริน (ogen) ในผู้ที่มีอาการหลังโควิด-19 หรือไม่

เราพบอะไร

การทบทวนการศึกษาในห้องปฏิบัติการ

เราพบการศึกษา 5 ฉบับที่ประเมินว่ามีอนุภาคอะไมลอยด์ไฟบริน (ogen) ในเลือดของผู้ป่วยที่มีอาการหลังโควิด-19 หรือไม่ การศึกษาพบอนุภาคเหล่านี้ในกลุ่มควบคุมที่มีสุขภาพที่ดี ผู้ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 และผู้ที่มี PCC ซึ่งหมายความว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นลักษณะเฉพาะใน PCC นอกจากนี้เรายังพบปัญหาเกี่ยวกับวิธีการดำเนินการศึกษาเหล่านี้และวิธีการนำเสนอผลการวิจัย ตัวอย่างเช่น ไม่ชัดเจนว่าพบอนุภาคเหล่านี้ในผู้เข้าร่วมทั้งหมดที่มี PCC หรือเพียงบางคนเท่านั้น

การทบทวนการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม

เราไม่พบการศึกษาที่ผู้ป่วยที่มีอาการหลังโควิด-19 ได้รับการทำพลาสมาฟีรีซิสโดยมีจุดประสงค์เพื่อกำจัดอนุภาคอะไมลอยด์ไฟบริน (ogen) นอกจากนี้เรายังไม่พบการทดลองที่กำลังดำเนินการอยู่ที่กำลังตรวจสอบเรื่องนี้

ข้อจำกัดของหลักฐานคืออะไร

หลักฐานไม่สามารถแสดงให้เห็นได้ว่าอนุภาคอะไมลอยด์ไฟบริน (ogen) มีส่วนทำให้เกิดภาวะหลังโควิด-19 หรือไม่ การวิเคราะห์ของเราไม่ได้พิจารณากลไกอื่นๆ ที่คาดคะเนสำหรับสภาวะหลังโควิด-19 และพลาสมาฟีรีซิสในบริบทของกลไกอื่นๆ ดังกล่าว

การทบทวนวรรณกรรมนี้ทันสมัยแค่ไหน

เราทำการค้นหาการศึกษาในวันที่ 21 ตุลาคม 2022 (การทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม) และ 27 ตุลาคม 2022 (การศึกษาในห้องปฏิบัติการ)

บทนำ

ภาวะหลังโควิด-19 (Post-COVID-19 Conditions; PCC) ประกอบด้วยอาการต่างๆ มากมาย รวมถึงความเหนื่อยล้าและการดำเนินชีวิตประจำวันที่บกพร่อง ผู้คนแสวงหาแนวทางที่หลากหลายเพื่อช่วยให้พวกเขาฟื้นตัว

ความเชื่อใหม่ที่เกิดขึ้นจากการศึกษาในห้องปฏิบัติการบางส่วนก็คือ 'microclots' ทำให้เกิดอาการของ PCC ความเชื่อนี้ขยายออกไปนอกเหนือจากการศึกษาเหล่านี้ โดยเสนอว่าในการฟื้นตัวของคนไข้จำเป็นต้องได้ plasmapheresis (กระบวนการที่มีราคาแพงซึ่งเลือดถูกกรองนอกร่างกาย) เราประเมินผลการศึกษาในห้องปฏิบัติการ และเห็นได้ชัดว่าคำว่า 'microclots' ไม่ถูกต้องในการอธิบายปรากฏการณ์ที่อธิบายไว้ อนุภาคเป็นอะไมลอยด์และรวมถึงไฟบริน (ogen); อะไมลอยด์ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของก้อนลิ่มเลือดซึ่งเป็นส่วนผสมของตาข่ายไฟบรินและเกล็ดเลือด การติดเชื้อโควิด-19 เฉียบพลันในระยะเริ่มแรกสัมพันธ์กับความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด การทบทวนนี้เกี่ยวข้องกับอนุภาคอะไมลอยด์ไฟบริน (ogen) ใน PCC เท่านั้น

เราได้รายงานการประเมินการศึกษาในห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจสอบการมีอยู่ของอนุภาคอะไมลอยด์ไฟบริน (ogen) ใน PCC และหลักฐานที่แสดงว่าพลาสมาฟีเรซิสอาจเป็นวิธีการบำบัดที่มีประสิทธิภาพในการกำจัดอนุภาคอะไมลอยด์ไฟบริน (ogen) ในการรักษา PCC

วัตถุประสงค์

การทบทวนการศึกษาในห้องปฏิบัติการ

เพื่อสรุปและประเมินรายงานการวิจัยเกี่ยวกับอนุภาคอะไมลอยด์ไฟบริน (โอเจน) ที่เกี่ยวข้องกับ PCC

การทบทวนการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม

เพื่อประเมินหลักฐานด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพของพลาสมาฟีเรซิสในการกำจัดอนุภาคอะไมลอยด์ไฟบริน (ogen) ในบุคคลที่มี PCC จากการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม

วิธีการสืบค้น

การทบทวนการศึกษาในห้องปฏิบัติการ

เราค้นหาการศึกษาในห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจนถึงวันที่ 27 ตุลาคม 2022 โดยใช้กลยุทธ์การค้นหาที่ครอบคลุมซึ่งรวมถึงคำค้นหา 'โควิด' 'อะไมลอยด์' 'ไฟบริน' และ 'ไฟบริโนเจน'

การทบทวนการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม

เราค้นหาฐานข้อมูลต่อไปนี้เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2022: ทะเบียนการศึกษา Cochrane COVID-19; MEDLINE(Ovid); Embase (Ovid); และ BIOSIS Previews (Web of Science) นอกจากนี้เรายังค้นหาการศึกษาที่กำลังดำเนินการอยู่ใน WHO International Clinical Trials Registry Platform และ ClinicalTrials.gov สำหรับการศึกษาที่ดำเนินการอยู่

เกณฑ์การคัดเลือก

การทบทวนการศึกษาในห้องปฏิบัติการ

การศึกษาในห้องปฏิบัติการที่ตรวจสอบการมีอยู่ของอนุภาคอะไมลอยด์ไฟบริน (ogen) ในตัวอย่างพลาสมาจากผู้ป่วย PCC ซึ่งรวมถึงการศึกษาที่มีหรือไม่มีกลุ่มควบคุม

การทบทวนการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม

การศึกษาที่มีสิทธิ์เข้าร่วมหากเป็นการออกแบบที่มีการสุมและมีกลุ่มควบคุม และตรวจสอบประสิทธิภาพหรือความปลอดภัยของพลาสมาฟีเรซิสในการกำจัดอนุภาคอะไมลอยด์ไฟบริน (โอเจน) ในการรักษา PCC

การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล

ผู้ทบทวน 2 คนใช้เกณฑ์การคัดเลือกการศึกษาเพื่อระบุการศึกษาที่เข้าเกณฑ์และดึงข้อมูลออกมา

การทบทวนการศึกษาในห้องปฏิบัติการ

เราประเมินความเสี่ยงของการมีอคติของการศึกษาที่รวบรวมไว้โดยใช้วิธีที่พัฒนาไว้ล่วงหน้าสำหรับการศึกษาในห้องปฏิบัติการ เราวางแผนที่จะทำการสังเคราะห์โดยไม่มีการวิเคราะห์เมตต้า (SWiM) ตามที่อธิบายไว้ในโปรโตคอลของเรา

การทบทวนการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม

เราวางแผนว่าหากเราพบการศึกษาที่เข้าเกณฑ์ เราจะประเมินความเสี่ยงของการมีอคติและรายงานผลลัพธ์พร้อมช่วงความเชื่อมั่น 95% ผลลัพธ์หลักคือการฟื้นตัว วัดโดยใช้มาตรวัดสถานะการทำงานหลังโควิด-19 (Post-COVID-19 Functional Status Scale: การไม่มีอาการที่เกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วย ความสามารถในการทำกิจกรรมประจำวันตามปกติ และการกลับสู่สภาวะสุขภาพและจิตใจแบบเดิม)

ผลการวิจัย

การทบทวนการศึกษาในห้องปฏิบัติการ

เราค้นพบการศึกษาในห้องปฏิบัติการ 5 ฉบับ อนุภาคอะไมลอยด์ไฟบริน (ogen) ถูกพบในผู้เข้าร่วมการศึกษาทั้งหมด รวมถึงผู้ที่มี PCC บุคคลที่มีสุขภาพดี และผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน ผลการศึกษาทั้ง 3 ฉบับ ขึ้นอยู่กับภาพที่มองเห็นได้ของอนุภาคอะไมลอยด์ไฟบริน (ogen) ซึ่งไม่ได้ระบุปริมาณหรือขนาดของอนุภาคที่พบ ความเสี่ยงอย่างเป็นทางการของการประเมินอคติแสดงให้เห็นข้อกังวลเกี่ยวกับวิธีการดำเนินการและรายงานการศึกษา ซึ่งหมายความว่าผลลัพธ์ไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนความเชื่อที่ว่าอนุภาคอะไมลอยด์ไฟบริน (ogen) เกี่ยวข้องกับ PCC หรือเพื่อตรวจสอบว่ามีความแตกต่างในปริมาณหรือขนาดของอนุภาคอะไมลอยด์ไฟบริน (ogen) ในพลาสมาของผู้ที่มี PCC เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่สุขภาพดี

การทบทวนการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม

เราพบว่าไม่มีการศึกษาใดที่ตรงตามเกณฑ์การคัดเลือกของเรา

ข้อสรุปของผู้วิจัย

ในกรณีที่ไม่มีงานวิจัยที่เชื่อถือได้ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอนุภาคอะไมลอยด์ไฟบริน (ogen) มีส่วนในพยาธิสรีรวิทยาของ PCC ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะทำพลาสมาฟีเรซิสกำจัดอนุภาคอะไมลอยด์ไฟบริน (โอเจน) ใน PCC พลาสมาฟีเรซิสสำหรับการบ่งชี้นี้ไม่ควรใช้นอกบริบทของการทดลองแบบสุ่มที่มีการควบคุมอย่างดี

บันทึกการแปล

แปลโดย พญ.วิลาสินี หน่อแก้ว โรงพยาบาลมะเร็งอุบลราชธานี Edit โดย ผกากรอง ลุมพิกานนท์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 17 กรกฏาคม 2024

การอ้างอิง
Fox T, Hunt BJ, Ariens RAS, Towers GJ, Lever R, Garner P, Kuehn R. Plasmapheresis to remove amyloid fibrin(ogen) particles for treating the post-COVID-19 condition. Cochrane Database of Systematic Reviews 2023, Issue 7. Art. No.: CD015775. DOI: 10.1002/14651858.CD015775.

การใช้คุกกี้ของเรา

เราใช้คุกกี้ที่จำเป็นเพื่อให้เว็บไซต์ของเรามีประสิทธิภาพ เรายังต้องการตั้งค่าการวิเคราะห์คุกกี้เพิ่มเติมเพื่อช่วยเราปรับปรุงเว็บไซต์ เราจะไม่ตั้งค่าคุกกี้เสริมเว้นแต่คุณจะเปิดใช้งาน การใช้เครื่องมือนี้จะตั้งค่าคุกกี้บนอุปกรณ์ของคุณเพื่อจดจำการตั้งค่าของคุณ คุณสามารถเปลี่ยนการตั้งค่าคุกกี้ได้ตลอดเวลาโดยคลิกที่ลิงก์ 'การตั้งค่าคุกกี้' ที่ส่วนท้ายของทุกหน้า
สำหรับข้อมูลโดยละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุกกี้ที่เราใช้ โปรดดู หน้าคุกกี้

ยอมรับทั้งหมด
กำหนดค่า