ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

การเสริมอาหารแบบเฉพาะบุคคล เทียบกับ การเสริมอาหารแบบมาตรฐาน สำหรับการเจริญเติบโตและพัฒนาการในทารกคลอดก่อนกำหนดที่ได้รับนมแม่

คำถามการทบทวนวรรณกรรม: การเติมสารอาหารและแคลอรี่ลงในนมแม่เป็นแบบเฉพาะบุคคลแทนที่จะเป็นแบบมาตรฐานและที่ไม่ใช่แบบเฉพาะบุคคลจะช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตและผลลัพธ์อื่น ๆ ในทารกคลอดก่อนกำหนดหรือไม่

ความเป็นมา: ทารกที่คลอดก่อนกำหนดมีความเสี่ยงต่อการเจริญเติบโตไม่ดีหลังคลอด นมแม่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเจ็บป่วย แต่อาจให้คุณค่าทางโภชนาการไม่ครบถ้วนตามที่ทารกควรได้รับ ดังนั้นนมแม่ที่ให้ทารกคลอดก่อนกำหนดควรจะต้องเสริมสารอาหารเพิ่มเติม วิธีปกติในการเสริมน้ำนมแม่จะปฏิบัติต่อน้ำนมแม่และทารกที่คลอดก่อนกำหนดทุกรายเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม มีวิธีการเสริมอาหาร 2 วิธี สำหรับการเสริมสารอาหารให้กับทารกที่คลอดก่อนกำหนดแต่ละคน การเสริมสารอาหารแบบกำหนดเป้าหมายจะเพิ่มสารอาหารให้กับน้ำนมแม่โดยอาศัยผลการวิเคราะห์นมแม่ การเสริมอาหารแบบปรับเปลี่ยนได้จะเพิ่มสารอาหารตามผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการของทารกคลอดก่อนกำหนด การเสริมอาหารรายบุคคลอาจช่วยเพิ่มการเจริญเติบโตของทารกคลอดก่อนกำหนดหรือผลลัพธ์อื่น ๆ อย่างไรก็ตามยังไม่ทราบว่าการเสริมอาหารแบบกำหนดเป้าหมายหรือแบบปรับได้นั้นปลอดภัยหรือช่วยเพิ่มผลลัพธ์ของทารกคลอดก่อนกำหนดเมื่อเทียบกับวิธีมาตรฐาน

ลักษณะการศึกษา: จากการสืบค้นวรรณกรรมที่อัปเดตถึงเดือนกันยายน 2019 เราพบการศึกษา 7 รายการที่ทดสอบผลของการเสริมอาหารในนมแม่แบบกำหนดเป้าหมายหรือแบบปรับได้เทียบกับการเสริมมาตรฐานในทารกคลอดก่อนกำหนด โดยมีการศึกษา 8 รายการ (มีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 521 คน ในการศึกษาเหล่านี้) การศึกษา 1 รายการที่เผยแพร่หลังจากการสืบค้นวรรณกรรมของเราเสร็จสิ้นกำลังรอการจัดหมวดหมู่

ผลลัพธ์หลัก: การเสริมอาหารแบบกำหนดเป้าหมายหรือแบบปรับได้ช่วยเพิ่มการเติบโตในระยะสั้นเมื่อเทียบกับการเสริมแบบมาตรฐานในทารกคลอดก่อนกำหนด การกำหนดวิธีที่ดีที่สุดในการปรับแต่งการให้นมแม่เป็นสิ่งที่จำเป็นเช่นเดียวกับการชี้แจงความปลอดภัยและผลกระทบต่อผลลัพธ์ทางคลินิกอื่น ๆ

ความเชื่อมั่นของหลักฐาน: อยู่ในระดับต่ำมากถึงปานกลาง ความเชื่อมั่นในระดับปานกลาง หมายความว่า ผลที่แท้จริงของการเสริมอาหารแบบรายบุคคลต่อการเจริญเติบโตของทารกคลอดก่อนกำหนดน่าจะใกล้เคียงกับผลการทบทวนวรรณกรรมนี้ แต่มีความเป็นไปได้อยู่บ้างที่ผลที่เกิดขึ้นอาจแตกต่างจากการทบทวนวรรณกรรมนี้ ความเชื่อมั่นในระดับต่ำ หมายความว่า ผลที่แท้จริงอาจแตกต่างอย่างมากจากผลการทบทวนวรรณกรรมนี้ ความเชื่อมั่นในระดับต่ำมาก หมายความว่า ผลที่แท้จริงของการเสริมอาหารแบบเฉพาะบุคคลต่อการเจริญเติบโตของทารกคลอดก่อนกำหนดมีแนวโน้มที่จะแตกต่างอย่างมากจากผลการทบทวนวรรณกรรมนี้ สาเหตุที่ความเชื่อมั่นของหลักฐานถูกลดระดับบ่อยที่สุดในการทบทวนวรรณกรรมนี้เนื่องจากมีผู้เข้าร่วมการศึกษาจำนวนน้อยในการศึกษาที่รวบรวมได้ และมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในการออกแบบการศึกษาและผลลัพธ์ระหว่างการศึกษาที่รวบรวมได้

บทนำ

นมแม่เมื่อเทียบกับนมผงจะช่วยลดการเจ็บป่วยในทารกคลอดก่อนกำหนด แต่ต้องมีการเสริมอาหารเพื่อตอบสนองความต้องการทางโภชนาการและเพื่อลดความเสี่ยงของความล้มเหลวในการเจริญเติบโตหลังคลอด วิธีการเสริมอาหารแบบมาตรฐานไม่มีความจำเพาะสำหรับทารกแต่ละคนและถือว่านมแม่มีคุณค่าทางโภชนาการสม่ำเสมอ ปัจจุบันมีวิธีการสำหรับการเสริมอาหารเฉพาะบุคคล อย่างไรก็ตามยังไม่ทราบว่าสิ่งเหล่านี้ปลอดภัยหรือทำให้ผลลัพธ์ของทารกดีขึ้นหรือไม่

วัตถุประสงค์

เพื่อตรวจสอบว่าการเสริมอาหารในนมแม่แบบรายบุคคลเพื่อตอบสนองต่อยูเรียไนโตรเจนในเลือดของทารก (การเสริมอาหารที่ปรับได้) หรือต่อปริมาณธาตุอาหารหลักในน้ำนมแม่ตามที่วัดด้วยเครื่องวิเคราะห์น้ำนม (การเสริมอาหารแบบกำหนดเป้าหมาย) ช่วยลดอัตราการตายและการเจ็บป่วยและส่งเสริมการเจริญเติบโตและพัฒนาการเมื่อเทียบกับการเสริมอาหารแบบมาตรฐานที่ไม่ใช่การเสริมรายบุคคลสำหรับทารกคลอดก่อนกำหนดที่ได้รับนมแม่เมื่ออายุครรภ์ <37 สัปดาห์หรือเมื่อน้ำหนักแรกเกิด <2500 กรัม

วิธีการสืบค้น

เราใช้วิธีการสืบค้นมาตรฐานของ Cochrane Neonatal เพื่อค้นหา Cochrane Central Register of Controlled Trials (CENTRAL; 2019, Issue 9) ใน Cochrane Library; Ovid MEDLINE (R) และ Epub Ahead of Print, In-Process & Other Non-Indexed Citations Daily and Versions(R); and the Cumulative Index to Nursing and Allied Health Literatue (CINAHL) ในวันที่ 20 กันยายน 2019 เรายังสืบค้นฐานข้อมูลการทดลองทางคลินิก และรายการอ้างอิงของบทความที่ได้มา สำหรับการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม และ quasi-randomised trials

เกณฑ์การคัดเลือก

เราพิจารณาการทดลองแบบสุ่ม แบบกึ่งสุ่ม และแบบสุ่มคลัสเตอร์ ที่มีกลุ่มควบคุม ที่ทำการศึกษาในทารกคลอดก่อนกำหนดที่เลี้ยงด้วยนมแม่อย่างเดียว ซึ่งเปรียบเทียบวิธีการเสริมอาหารแบบมาตรฐานที่ไม่ใช่รายบุคคลกับการเสริมอาหารแบบรายบุคคลโดยใช้วิธีการที่กำหนดเป้าหมายหรือแบบปรับเปลี่ยนได้ เราพิจารณาการศึกษาที่ตรวจสอบการใช้การเสริมอาหารในทารกที่เข้าเกณฑ์เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ โดยเริ่มต้นเมื่อใดก็ได้ในระหว่างการให้นมแม่โดยวิธีใดก็ได้

การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล

เก็บข้อมูลโดยใช้วิธีมาตรฐานของ Cochrane Neonatal ผู้ประพันธ์การทบทวนวรรณกรรม 2 คนประเมินคุณภาพของการศึกษา รวมถึงการดึงข้อมูล เรารายงานการวิเคราะห์ข้อมูลแบบต่อเนื่องโดยใช้ความแตกต่างของค่าเฉลี่ย (MDs) และกรณีข้อมูลผลลัพธ์แบบทวิภาค (dichotomous) ใช้อัตราส่วนความเสี่ยง (RRs) ผู้วิจัยประเมินความเชื่อมั่นของหลักฐานที่ได้โดยวิธี GRADE

ผลการวิจัย

ข้อมูลถูกคัดลอกมาจาก RCT 7 รายการ ที่มีการตีพิมพ์ 8 ฉบับ (มีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 521 คนที่ลงทะเบียนในการศึกษาเหล่านี้) โดยมีระยะเวลาในการศึกษาตั้งแต่ 2 ถึง 7 สัปดาห์ เมื่อเทียบกับการเสริมอาหารแบบมาตรฐานที่ไม่ใช่แบบเฉพาะรายบุคคล การเสริมอาหารเข้าทางเดินอาหารแบบรายบุคคล (แบบกำหนดเป้าหมายหรือแบบปรับได้) อาจทำให้น้ำหนักทารกเพิ่มขึ้นในระหว่างการเสริม (ความแตกต่างของค่าเฉลี่ยทั่วไป [MD] 1.88 g/kg/d, 95% CI 1.26 ถึง 2.50; การศึกษา 6 รายการ, ผู้เข้าร่วม 345 คน) อาจมีความยาวเพิ่มขึ้นในระหว่างการเสริม (MD 0.43 mm / d, 95% CI 0.32 ถึง 0.53; การศึกษา 5 รายการ, ผู้เข้าร่วม 242 คน) และอาจมีการเพิ่มขึ้นของเส้นรอบวงศีรษะระหว่างการเสริม (MD 0.14 mm / d, 95% CI 0.06 ถึง 0.23; การศึกษา 5 รายการ, ผู้เข้าร่วม 242 คน) เมื่อเทียบกับการเสริมอาหารแบบมาตรฐานที่ไม่ใช่แบบเฉพาะรายบุคคล การเสริมอาหารแบบกำหนดเป้าหมายอาจเพิ่มน้ำหนักของทารกในระหว่างการเสริมอาหาร (MD 1.87 g/kg/d, 95% CI 1.15 ถึง 2.58; การศึกษา 4 รายการ, ผู้เข้าร่วม 269 คน) และทารกอาจมีความยาวเพิ่มขึ้นในระหว่างการเสริม ( MD 0.45 mm/d, 95% CI 0.32 ถึง 0.57; การศึกษา 3 รายการ, ผู้เข้าร่วม 166 คน) การเสริมอาหารแบบปรับได้ อาจเพิ่มน้ำหนักของทารกในระหว่างการเสริม (MD 2.86 g/kg/d; 95% CI 1.69 ถึง 4.03; การศึกษา 3 รายการ, ผู้เข้าร่วม 96 คน) และทารกอาจมีความยาวเพิ่มขึ้นในระหว่างการเสริม (MD 0.54 mm/d, 95% CI 0.38 ถึง 0.7; การศึกษา 3 รายการ, ผู้เข้าร่วม 96 คน) และเพิ่มเส้นรอบวงศีรษะระหว่างการเสริม (MD 0.36 mm/d, 95% CI 0.21 ถึง 0.5; การศึกษา 3 รายการ, ผู้เข้าร่วม 96 คน) เราไม่แน่ใจว่ามีความแตกต่างระหว่างการเสริมอาหารแบบเฉพาะรายบุคคลเมื่อเปรียบเทียบกับแบบมาตรฐานหรือไม่ในอุบัติการณ์ของการเสียชีวิตในโรงพยาบาล bronchopulmonary dysplasia, necrotizing enterocolitis, culture-proven late-onset bacterial sepsis, retinopathy of prematurity, osteopenia, ระยะเวลาการอยู่โรงพยาบาล หรือการเจริญเติบโตหลังออกจากโรงพยาบาล ไม่มีการศึกษาใดรายงานความพิการทางพัฒนาการทางระบบประสาทอย่างรุนแรง การศึกษา 1 รายการที่เผยแพร่หลังจากการสืบค้นวรรณกรรมของเราเสร็จสิ้นกำลังรอการจัดหมวดหมู่

ข้อสรุปของผู้วิจัย

เราพบหลักฐานที่มีความเชื่อมั่นในระดับปานกลางถึงต่ำ ที่บ่งชี้ว่าการเสริมอาหารเข้าทางเดินอาหารของทารกแรกเกิดที่มีน้ำหนักตัวน้อยมากจะเพิ่มความเร็วในการเพิ่มขึ้นของน้ำหนัก ความยาว และเส้นรอบวงศีรษะของทารกในระหว่างการเสริมอาหารเมื่อเทียบกับการเสริมมาตรฐานแบบที่ไม่ใช่รายบุคคล หลักฐานที่แสดงถึงผลลัพธ์ทางคลินิกที่สำคัญในโรงพยาบาลและหลังการจำหน่ายนั้นมีน้อย และมีความเชื่อมั่นต่ำมาก ทำให้ไม่สามารถอนุมานเกี่ยวกับความปลอดภัยหรือผลประโยชน์ทางคลินิกนอกเหนือจากการเติบโตในระยะสั้นได้

บันทึกการแปล

แปลโดย ศ.นพ.ภิเศก ลุมพิกานนท์ ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 11 ธันวาคม 2020

การอ้างอิง
Fabrizio V, Trzaski JM, Brownell EA, Esposito P, Lainwala S, Lussier MM, Hagadorn JI. Individualized versus standard diet fortification for growth and development in preterm infants receiving human milk. Cochrane Database of Systematic Reviews 2020, Issue 11. Art. No.: CD013465. DOI: 10.1002/14651858.CD013465.pub2.

การใช้คุกกี้ของเรา

เราใช้คุกกี้ที่จำเป็นเพื่อให้เว็บไซต์ของเรามีประสิทธิภาพ เรายังต้องการตั้งค่าการวิเคราะห์คุกกี้เพิ่มเติมเพื่อช่วยเราปรับปรุงเว็บไซต์ เราจะไม่ตั้งค่าคุกกี้เสริมเว้นแต่คุณจะเปิดใช้งาน การใช้เครื่องมือนี้จะตั้งค่าคุกกี้บนอุปกรณ์ของคุณเพื่อจดจำการตั้งค่าของคุณ คุณสามารถเปลี่ยนการตั้งค่าคุกกี้ได้ตลอดเวลาโดยคลิกที่ลิงก์ 'การตั้งค่าคุกกี้' ที่ส่วนท้ายของทุกหน้า
สำหรับข้อมูลโดยละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุกกี้ที่เราใช้ โปรดดู หน้าคุกกี้

ยอมรับทั้งหมด
กำหนดค่า