ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

โปรแกรมตรวจคัดกรองทางทันตกรรมในโรงเรียนเพื่อปรับปรุงสุขภาพช่องปากของเด็ก

วัตถุประสงค์ของการทบทวนวรรณกรรมนี้คืออะไร

สุขภาพช่องปาก หมายถึง สภาพของปาก คอ ฟัน และเหงือก จุดมุ่งหมายของการทบทวนวรรณกรรม Cochrane ครั้งนี้คือ เพื่อค้นหาว่าการตรวจคัดกรองทางทันตกรรมในโรงเรียนสามารถช่วยปรับปรุงสุขภาพช่องปากของเด็กได้หรือไม่ และหากสามารถทำได้ วิธีการตรวจคัดกรองแบบใดดีที่สุด เราพบการศึกษาที่เกี่ยวข้องจำนวน 8 ฉบับสำหรับการตอบคำถามนี้ เป็นการอัปเดตครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ของการทบทวนวรรณกรรมต้นฉบับที่เผยแพร่ในเดือนธันวาคม 2017 และการอัปเดตครั้งแรกในเดือนสิงหาคม 2019

ใจความสำคัญ

ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะสรุปได้ว่าการตรวจคัดกรองทันตกรรมในโรงเรียนแบบเดิมสามารถเพิ่มการเข้ารับการตรวจทางทันตกรรมได้หรือไม่ (อาจทำให้เด็กไปพบทันตแพทย์บ่อยขึ้น) อย่างไรก็ตาม ไม่ชัดเจนว่าการเพิ่มการเข้าร่วมการตรวจทางทันตกรรมนำไปสู่การมีสุขภาพช่องปากที่ดีขึ้น เรายังคงต้องการการศึกษาที่มีคุณภาพสูงที่วัดผลของการตรวจคัดกรองสุขภาพช่องปากและดำเนินการในช่วงเวลาที่ยาวนานขึ้น

การทบทวนวรรณกรรมนี้ศึกษาอะไร

โรคในช่องปาก โดยเฉพาะฟันผุ (เรียกว่า 'โรคฟันผุ' โดยทันตแพทย์) ที่มีผลกระทบต่อเด็กทั่วโลก หากไม่ได้รับการรักษา สุขภาพช่องปากอาจแย่ลงและส่งผลเสียต่อความเป็นอยู่ทั่วไปของเด็กได้ อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายต่อครอบครัวและสังคมโดยรวมอีกด้วย

การตรวจคัดกรองทันตกรรมในโรงเรียนเกี่ยวข้องกับผู้เชี่ยวชาญด้านทันตกรรมเพื่อตรวจปากและฟันของเด็กที่โรงเรียน และแจ้งให้ผู้ปกครองทราบเกี่ยวกับสภาพช่องปากและความต้องการในการรักษาของเด็ก มีจุดมุ่งหมายเพื่อระบุปัญหาสุขภาพช่องปากในระยะแรกและแจ้งให้ผู้ปกครองทราบเพื่อรับการรักษาตามความจำเป็น สุขภาพช่องปากของเด็กเพิ่มขึ้นได้จริงหรือไม่นั้นเป็นคำถามที่เราต้องการคำตอบในการทบทวนวรรณกรรมนี้

ผลลัพธ์หลักของการทบทวนวรรณกรรมนี้คืออะไร

การค้นหาเพิ่มเติมของเราสามารถระบุการศึกษาใหม่ได้หนึ่งเรื่องที่จะรวมไว้ตั้งแต่การทบทวนวรรณกรรมฉบับล่าสุดที่ได้รับการเผยแพร่ โดยรวมแล้ว การทบทวนวรรณกรรมประกอบไปด้วยการศึกษาทั้งหมด 8 ฉบับที่นำเสนอผลลัพธ์จากเด็ก 21,290 คน มีการศึกษา 4 ฉบับศึกษาในสหราชอาณาจักร 2 ฉบับศึกษาในอินเดีย 1 ฉบับศึกษาในสหรัฐอเมริกา และอีก 1 ฉบับศึกษาในซาอุดีอาระเบีย เด็กมีอายุ 4 ถึง 15 ปี การศึกษาสนใจศึกษาไปที่สุขภาพช่องปากและการเข้าร่วมการตรวจทางทันตกรรมของเด็กที่ได้รับการตรวจคัดกรองในโรงเรียน เปรียบเทียบกับเด็กที่ไม่ได้ตรวจคัดกรอง บางการศึกษายังเปรียบเทียบวิธีการคัดกรองที่แตกต่างกันและรูปแบบการติดตามผลที่แตกต่างกัน (เช่น จดหมายแนะนำหรือการส่งต่อ)

เราไม่ทราบว่าการตรวจคัดกรองทันตกรรมในโรงเรียนแบบเดิมๆ จะช่วยเพิ่มจำนวนการเข้ารับบริการทางทันตกรรมได้หรือไม่ การศึกษาจะพิจารณาการตรวจคัดกรองตามเกณฑ์ที่ระบุเฉพาะ (เช่น กำหนดเป้าหมายไปที่เด็กที่ไม่ได้ลงทะเบียนกับทันตแพทย์) คำแนะนำคืออาจมีประสิทธิภาพมากกว่าการไม่ตรวจคัดกรองเล็กน้อยต่อการเพิ่มการเข้ารับบริการทางทันตกรรม อาจไม่มีความแตกต่างระหว่างการตรวจคัดกรองตามเกณฑ์ที่กำหนดและการตรวจคัดกรองทั่วไปเพื่อเพิ่มการเข้ารับบริการทางทันตกรรม แต่เราไม่แน่ใจอย่างมากเกี่ยวกับผลลัพธ์

จดหมายแนะนำรายบุคคลหรือจดหมายส่งต่อแบบเฉพาะเจาะจงถึงผู้ปกครองอาจช่วยเพิ่มการเข้ารับบริการทางทันตกรรมได้มากกว่าจดหมายที่ไม่เฉพาะเจาะจง แต่เราไม่แน่ใจอย่างมากเกี่ยวกับผลลัพธ์

การตรวจคัดกรองด้วยการเพิ่มแรงจูงใจ (การให้ความรู้ด้านสุขภาพและข้อเสนอการรักษาฟรี) อาจเพิ่มการเข้ารับบริการทางทันตกรรมเมื่อเทียบกับการตรวจคัดกรองเพียงอย่างเดียว แต่เราไม่แน่ใจอย่างมากเกี่ยวกับผลลัพธ์

การศึกษาหนึ่งเปรียบเทียบจดหมายส่งต่อที่แตกต่างกัน (รายละเอียดข้อมูลมากหรือรายละเอียดข้อมูลน้อยเกี่ยวกับโรคทางทันตกรรม) พบว่าทั้งสองแบบไม่ได้ดีไปกว่าวิธีการอื่นเลย ในการเพิ่มการเข้ารับการรักษาทางทันตกรรมในเด็ก

จดหมายส่งต่อแบบเฉพาะเจาะจงไม่ได้ส่งเสริมให้ผู้ปกครองพาบุตรหลานไปพบทันตแพทย์มากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับจดหมายที่มีคำแนะนำทั่วไปในการไปพบทันตแพทย์

การศึกษาทั้ง 8 ฉบับติดตามเด็กๆ เป็นเวลา 3 ถึง 11 เดือนหลังจากได้รับการตรวจคัดกรอง ดังนั้นเราจึงไม่ทราบถึงผลกระทบของการตรวจคัดกรองที่มีระยะยาวกว่านั้น

ไม่มีการศึกษาใดที่ตรวจสอบว่ามีผลกระทบด้านลบของโปรแกรมการตรวจคัดกรองหรือไม่ หรือมีค่าใช้จ่ายอย่างไร

การทบทวนวรรณกรรมนี้เป็นปัจจุบันแค่ไหน

เราค้นหาการศึกษาที่ตีพิมพ์จนถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2021

บทนำ

ในการตรวจคัดกรองทันตกรรมในโรงเรียน ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพทันตกรรมจะตรวจสอบช่องปากของเด็กด้วยสายตาในโรงเรียน และให้ข้อมูลแก่ผู้ปกครองเกี่ยวกับสถานะสุขภาพช่องปากในปัจจุบันของบุตรหลานและความต้องการในการรักษาถ้ามี การตรวจคัดกรองที่โรงเรียนมีจุดมุ่งหมายเพื่อระบุปัญหาที่อาจเกิดขึ้นก่อนที่จะเกิดอาการของโรค ดังนั้นจึงกระตุ้นให้เด็กๆ มีการดูแลสุขภาพช่องปากทั้งทางด้านการป้องกันและการรักษา การทบทวนวรรณกรรมในครั้งนี้เพื่อประเมินประสิทธิภาพของการตรวจคัดกรองทันตกรรมในโรงเรียนเพื่อปรับปรุงภาวะสุขภาพช่องปากให้ดีขึ้น เป็นการอัปเดตครั้งที่ 2 ของการทบทวนวรรณกรรมต้นฉบับที่เผยแพร่ในเดือนธันวาคม 2017 และอัปเดตครั้งแรกในเดือนสิงหาคม 2019

วัตถุประสงค์

เพื่อประเมินประสิทธิภาพของโครงการตรวจคัดกรองทันตกรรมในโรงเรียนต่อภาวะสุขภาพช่องปากโดยรวมและการใช้บริการทันตกรรม

วิธีการสืบค้น

ผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลค้นหาฐานข้อมูลบรรณานุกรมจากสี่ฐานข้อมูลจนถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2021 และใช้วิธีการค้นหาเพิ่มเติมเพื่อหาการศึกษาที่ตีพิมพ์ ไม่ได้ตีพิมพ์ และที่กำลังดำเนินการอยู่

เกณฑ์การคัดเลือก

เรารวมการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มเปรียบเทียบ (RCTs; คลัสเตอร์หรือแบบสุ่มตัวอย่างรายบุคคล) ที่ประเมินการตรวจคัดกรองทันตกรรมในโรงเรียนเปรียบเทียบกับการไม่มีการตรวจใด หรือเปรียบเทียบการตรวจคัดกรองสองประเภทที่แตกต่างกัน

การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล

เราใช้ระเบียบวิธีการมาตรฐานที่ Cochrane กำหนดไว้

ผลการวิจัย

การทบทวนวรรณกรรมฉบับก่อนหน้านี้มีการศึกษาแบบ RCT 7 ฉบับ และการสืบค้นเพิ่มเติมนี้ของเราเพิ่มอีก 1 ฉบับ ดังนั้น การอัพเดตครั้งนี้จึงรวมการทดลองเป็น 8 ฉบับ (cluster-RCTs 6 ฉบับ) มีเด็กจำนวน 21,290 คน อายุ 4 ถึง 15 ปี การศึกษาทดลอง 4 ฉบับ ดำเนินการในสหราชอาณาจักร การศึกษาทดลอง 2 ฉบับในอินเดีย การศึกษาทดลอง 1 ฉบับในสหรัฐอเมริกา และการศึกษาทดลองอีก 1 ฉบับในซาอุดีอาระเบีย เราจัดอันดับการศึกษาทดลอง 2 ฉบับ ว่ามีความเสี่ยงของอคติต่ำ 3 ฉบับมีความเสี่ยงของอคติสูง และอีก 3 ฉบับที่มีความเสี่ยงของอคติไม่ชัดเจน 

ไม่มีการศึกษาทดลองใดที่มีการติดตามผลในระยะยาวเพื่อตรวจสอบถึงผลกระทบระยะยาวของการตรวจคัดกรองทันตกรรมในโรงเรียน การทดลองประเมินผลลัพธ์ตั้งแต่ 3 ถึง 11 เดือนของการติดตามผล

ไม่มีการทดลองใดรายงานสัดส่วนของเด็กที่ได้รับการรักษาหรือไม่ได้รับการรักษาโรคในช่องปาก นอกจากโรคฟันผุ พวกเขาไม่ได้รายงานเกี่ยวกับประสิทธิภาพต่อราคาหรือเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์

การศึกษาทดลอง 4 ฉบับ ประเมินการคัดกรองแบบเดิมเทียบกับไม่มีการคัดกรอง เราทำการวิเคราะห์เมตาสำหรับผลลัพธ์ 'การเข้ารับการรักษาทางทันตกรรม' และพบว่าไม่สามารถสรุปผลได้และมีความแตกต่างกันสูง ความแตกต่างส่วนหนึ่งเนื่องมาจากการออกแบบการศึกษา (Cluster-RCTs 3 ฉบับและการทดลองแบบสุ่มตัวอย่าง 1 ฉบับ) เนื่องจากความไม่สอดคล้องกันนี้ และความเสี่ยงของการมีอคติที่ไม่ชัดเจน เราจึงลดระดับหลักฐานลงให้มีความเชื่อมั่นต่ำมากและเราไม่สามารถสรุปผลเกี่ยวกับการเปรียบเทียบนี้ได้

การศึกษาทดลองแบบ cluster-RCTs 2 ฉบับ (ทั้งสอง ทำการทดลอง 4 กลุ่ม) เพื่อประเมินการคัดกรองที่มีเกณฑ์เทียบกับการไม่คัดกรอง โดยแนะนำถึงประโยชน์เล็กน้อยที่เป็นไปได้ (pooled Risk ratio (RR) 1.07, 95% ช่วงความเชื่อมั่น (CI) 0.99 ถึง 1.16; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ) ไม่มีหลักฐานของความแตกต่างเมื่อเปรียบเทียบการคัดกรองที่มีเกณฑ์กับการคัดกรองแบบเดิม (RR 1.01, 95% CI 0.94 ถึง 1.08; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก)

การทดลอง 1 ฉบับเปรียบเทียบจดหมายส่งต่อแบบเฉพาะทาง (รายบุคคล) กับจดหมายที่ไม่เฉพาะเจาะจง ผลลัพธ์สนับสนุนว่าจดหมายส่งต่อแบบเฉพาะทางเพิ่มการเข้ารับบริการจากทันตแพทย์ทั่วไป (RR 1.39, 95% CI 1.09 ถึง 1.77; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก) และการเข้ารับบริการจากทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางจัดฟัน (RR 1.90, 95% CI 1.18 ถึง 3.06; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก)

การทดลอง 1 ฉบับเปรียบเทียบการคัดกรองที่มีการจูงใจกับการคัดกรองเพียงอย่างเดียว ความสนใจเข้ารับการตรวจทางทันตกรรมมีแนวโน้มมากขึ้นหลังจากการตรวจคัดกรองมีแรงจูงใจเสริม (RR 3.08, 95% CI 2.57 ถึง 3.71; หลักฐานความน่าเชื่อถือต่ำมาก)

การทดลอง 1 ฉบับเปรียบเทียบการส่งต่อไปยังสถานรักษาทางทันตกรรมเฉพาะกับคำแนะนำในการไปพบทันตแพทย์ ไม่มีหลักฐานของความแตกต่างในการเข้ารับการรักษาทางทันตกรรมระหว่างสองการส่งต่อนี้ (RR 0.91, 95% CI 0.34 ถึง 2.47; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก)

มีเพียงการทดลองเดียวเท่านั้นที่รายงานสัดส่วนของเด็กที่เป็นโรคฟันผุที่ได้รับการรักษา การทดลองนี้ประเมินจดหมายส่งต่อหลังการคัดกรองโดยอิงตามรูปแบบสามัญสำนึกของการควบคุมดูแลตนเอง (กรอบทางทฤษฎีที่อธิบายว่าผู้คนเข้าใจและตอบสนองต่อภัยคุกคามต่อสุขภาพของตนอย่างไร) โดยมีหรือไม่มีคำแนะนำข้อมูลด้านทันตกรรม เมื่อเปรียบเทียบกับจดหมายส่งต่อแบบมาตรฐาน ผลการวิจัยไม่สามารถสรุปได้ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอคติ ทางอ้อม และความไม่แม่นยำ เราจึงประเมินหลักฐานว่ามีความเชื่อมั่นต่ำมาก

ข้อสรุปของผู้วิจัย

มีหลักฐานไม่เพียงพอที่จะสรุปว่าบทบาทของการตรวจคัดกรองทางทันตกรรมในโรงเรียนสามารถเพิ่มการเข้ารับการตรวจทางทันตกรรมได้ 

เราไม่มั่นใจว่าการตรวจคัดกรองแบบเดิมดีกว่าการไม่ตรวจคัดกรอง (หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก) การตรวจคัดกรองตามเกณฑ์อาจเพิ่มการเข้ารับการรักษาทางทันตกรรมเมื่อเปรียบเทียบกับการไม่ตรวจคัดกรอง (หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ) อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับการตรวจคัดกรองแบบเดิม ไม่มีหลักฐานของความแตกต่างในการเข้ารับการตรวจทางทันตกรรม (หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก)

สำหรับเด็กที่ต้องการการรักษา จดหมายส่งต่อตามบุคคลหรือเฉพาะทางอาจเพิ่มการเข้ารับการรักษาทางทันตกรรมเมื่อเปรียบเทียบกับจดหมายส่งต่อที่ไม่ระบุแบบเฉพาะเจาะจง (หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก) การตรวจคัดกรองที่เสริมด้วยแรงจูงใจ (การให้ความรู้ด้านสุขภาพช่องปากและข้อเสนอการรักษาฟรี) อาจเพิ่มการเข้ารับการรักษาทางทันตกรรมเมื่อเปรียบเทียบกับการตรวจคัดกรองเพียงอย่างเดียว (หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก) เราไม่แน่ใจว่าจดหมายส่งต่อแบบ 'รูปแบบสามัญสำนึกของการควบคุมดูแลตนเอง' นั้นดีกว่าจดหมายส่งต่อแบบมาตรฐานหรือไม่ (หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก) หรือการส่งต่อแบบเฉพาะทางไปยังสถานรักษาทางทันตกรรมดีกว่าจดหมายแนะนำทั่วไปที่ให้ไปพบทันตแพทย์หรือไม่ (หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก)

การศึกษาทดลองที่รวมอยู่ในการทบทวนวรรณกรรมนี้เพื่อประเมินผลของการตรวจคัดกรองทันตกรรมในโรงเรียนในระยะสั้น ไม่มีผู้ใดประเมินประสิทธิภาพสุขภาพช่องปากที่ดีขึ้นหรือผลกระทบที่เลวร้ายที่เป็นไปได้หรือค่าใช้จ่าย

บันทึกการแปล

ผู้แปล ฎลกรจำปาหวาย

Citation
Arora A, Kumbargere Nagraj S, Khattri S, Ismail NM, Eachempati P. School dental screening programmes for oral health. Cochrane Database of Systematic Reviews 2022, Issue 7. Art. No.: CD012595. DOI: 10.1002/14651858.CD012595.pub4.