ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

การให้วิตามินเอเสริมเพื่อป้องกันการตายและการเจ็บป่วยในทารกแรกเกิดครบกำหนดในประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง

มีในภาษาอื่นด้วย

คำถามรีวิว: การให้วิตามินเอเสริมสามารถป้องกันการตายและการเจ็บป่วยในทารกแรกเกิดครบกำหนดในประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลางได้หรือไม่

ที่มา: วิตามินเอเป็นสารอาหารสำคัญที่จำเป็นสำหรับการบำรุงรักษาการทำงานของร่างกายมนุษย์ให้เป็นปกติ หญิงตั้งครรภ์จำนวนมากในประเทศกำลังพัฒนามีภาวะขาดวิตามินเอ ในระหว่างตั้งครรภ์ การเสริมวิตามินเอมีความจำเป็นในการส่งเสริมการเจริญเติบโตและทำให้มีการสะสมวิตามินเอในตับของทารก การขาดสารอาหารนี้ในแม่อาจนำไปสู่การขาดในทารกและอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของทารก มีการยืนยันถึงประโยชน์ของการให้วิตามินเอแก่เด็กที่มีอายุมากกว่าหกเดือนในการลดการเสียชีวิตและลดผลเสียต่อสุขภาพ แต่ไม่มีหลักฐานแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ในทารกอายุ 1-5 เดือน ประโยชน์ของให้วิตามินเอเสริมแก่ทารกแรกเกิด (ช่วงเดือนแรกของชีวิต) กำลังมีการศึกษาอยู่

ลักษณะการศึกษา: มีการศึกษา 12 เรื่อง รวมทารกแรกเกิด 168,460 คนซึ่งทารกแรกเกิดในกลุ่มที่ได้รับการรักษาได้รับการเสริมด้วยวิตามินเอในช่วงอายุ 1 เดือนแรก

ผลลัพธ์ที่สำคัญ: การวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับทารกทุกรายแสดงให้เห็นว่าไม่มีการลดลงของการเสียชีวิตที่อายุ 6 เดือนของทารกที่ได้รับการรักษาและผลคล้ายกันในการเสียชีวิตเมื่อทารกอายุ 12 เดือน

คุณภาพของหลักฐาน: คุณภาพของหลักฐานถูกจัดว่าเป็นคุณภาพระดับสูงสำหรับผลลัพธ์ทางคลินิกที่สำคัญเกือบทั้งหมด ยกเว้นผลลัพธ์สองอย่างที่มีคุณภาพต่ำและต่ำมาก: คือ "ภาวะอุจจาระร่วงในช่วง 48-72 ชั่วโมงหลังการให้วิตามินเสริม" และ 'การเสียชีวิตจากทุกสาเหตุของทารกคลอดครบกำหนดที่อายุ 6 เดือน ตามลำดับ

บทนำ

การขาดวิตามินเอเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญในประเทศที่มีรายได้น้อยและปานกลาง การเสริมวิตามินเอในเด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไปพบว่าเป็นประโยชน์ แต่ยังไม่พบว่ามีประโยชน์ในการให้เสริมสำหรับเด็กที่อายุระหว่าง 1 ถึง 5 เดือน การเสริมวิตามินเอในช่วงทารกแรกเกิดได้รับการแนะนำเพราะอาจช่วยเพิ่มการสะสมวิตามินเอในร่างกายในวัยเด็กตอนต้น

วัตถุประสงค์

เพื่อประเมินผลของการเสริมวิตามินเอสำหรับทารกแรกเกิดคลอดครบกำหนดในประเทศที่มีรายได้น้อยและปานกลางในด้านการป้องกันการเสียชีวิตและความเจ็บป่วย

วิธีการสืบค้น

ผู้รายงานใช้การค้นหาตามมาตรฐานของ Cochrane Neonatal Review Group เพื่อค้นหา Cochrane Central Register of Controlled Trials (CENTRAL; 2016 ฉบับที่ 2) MEDLINE ผ่าน PubMed (1966-13 มีนาคม 2016), Embase (1980-13 มีนาคม 2016) และ Cumulative Index to Nursing and Allied Health Literature (CINAHL; 1982-13 มีนาคม 2016) นอกจากนี้ยังค้นหาฐานข้อมูลการทดลองทางคลินิก การดำเนินการประชุมและรายการอ้างอิงของบทความที่ได้รับการสำหรับการทดลองแบบควบคุมแบบสุ่มและแบบกึ่งทดลองแบบสุ่ม

เกณฑ์การคัดเลือก

การทดลองแบบสุ่มและกึ่งสุ่ม รวมถึงการทดลองแบบแฟกทอเรียล

การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล

นักวิจัยสองคนประเมินผลการศึกษาอย่างเป็นอิสระและรวบรวมข้อมูลการศึกษา โดยใช้วิธี Grading of Recommendations Assessment, Development and Evaluation (GRADE) เพื่อประเมินคุณภาพของหลักฐาน

ผลการวิจัย

มีการศึกษา 12 การศึกษา (ทารกแรกเกิด 168,460 คน ) ในการทบทวนนี้โดยมีเพียงไม่กี่การทดลองที่รายงานข้อมูลแยกสำหรับทารกที่คลอดครบกำหนด ดังนั้นจึงวิเคราะห์ข้อมูลและนำเสนอค่าประมาณสำหรับเด็กทารกคลอดครบกำหนด (เมื่อระบุ) และสำหรับทารกทุกคน

ข้อมูลในทารกคลอดครบกำหนดจาก 3 การศึกษาไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในความเสี่ยงต่อการตายที่อายุ 6 เดือนของทารกในกลุ่มที่ได้รับวิตามินเอ เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม (อัตราส่วนความเสี่ยง, typical risk ratio (RR) 0.80; 95% confidence interval) 0.54 ถึง 1.18; I2 = 63%) การวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับเด็กทารกทั้งหมดจาก 11 การศึกษาพบว่าไม่มีหลักฐานการลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตที่อายุ 6 เดือนของทารกที่เสริมด้วยวิตามินเอเมื่อเทียบกับทารกแรกกลุ่มควบคุมุ (RR 0.98, 95% CI 0.89 ถึง 1.07; I2 = 47 %) พบผลลัพธ์ที่คล้ายคลึงกันสำหรับการเสียชีวิตของทารกที่อายุ 12 เดือน โดยการเสริมวิตามินเอไม่มีผลอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับทารกกลุ่มควบคุมควบคุม ( RR 1.04, 95% CI 0.94 ถึง 1.15; I2 = 47%) มีข้อมูลที่จำกัด สำหรับผลลัพธ์ของการเสียชีวิตและการเจ็บป่วยในแง่โรคที่เป็นสาเหต (cause-specific mortality and morbidity) ภาวะขาดวิตามินเอ ภาวะโลหิตจางและเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์

ข้อสรุปของผู้วิจัย

จากข้อเท็จจริงที่ว่า เด็กที่อายุน้อยกว่าห้าปีในประเทศที่มีรายได้น้อยและปานกลางมีภาวะการเสียชีวิตสูง และส่วนใหญ่เป็นการเสียชีวิตในช่วงวัยทารก จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้หาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับผลของการเสริมวิตามินเอในช่วงทารกแรกเกิดต่อการเสียชีวิตและการเจ็บป่วยของทารก หลักฐานที่ได้จากการทบทวนนี้ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงประโยชน์ที่อาจเกิดขึ้นจากการเสริมวิตามินเอในทารกแรกเกิดในการลดอัตราการเสียชีวิตในช่วง 6 เดือนแรกหรือ 12 เดือนแรกของชีวิต จากผลการทบทวนนี้และการขาดข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนเกี่ยวกับกลไกทางชีวภาพที่วิตามินเออาจส่งผลต่อการเสียชีวิต พร้อมกับผลการวิจัยที่ขัดแย้งกันอย่างมากของการศึกษาแต่ละเรื่องซึ่งดำเนินการในสถานที่ที่มีระดับการขาดวิตามินเอในมารดาและการเสียชีวิตของทารกแตกต่างกัน การขาดการศึกษาประเมินผลกระทบในระยะยาวของภาวะกระหม่อมโป่งตึงหลังจากการเสริมวิตามินเอและผลกระทบที่อาจเป็นอันตรายในทารกเพศหญิง จึงควรต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมได้ก่อนที่จะตัดสินใจให้คำแนะนำนี้เป็นนโยบายในทางปฏิบัติ

บันทึกการแปล

ผู้แปล พญ.ดิษจี ลุมพิกานนท์ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช 3 สิงหาคม 2017

การอ้างอิง
Haider BA, Sharma R, Bhutta ZA. Neonatal vitamin A supplementation for the prevention of mortality and morbidity in term neonates in low and middle income countries. Cochrane Database of Systematic Reviews 2017, Issue 2. Art. No.: CD006980. DOI: 10.1002/14651858.CD006980.pub3.

การใช้คุกกี้ของเรา

เราใช้คุกกี้ที่จำเป็นเพื่อให้เว็บไซต์ของเรามีประสิทธิภาพ เรายังต้องการตั้งค่าการวิเคราะห์คุกกี้เพิ่มเติมเพื่อช่วยเราปรับปรุงเว็บไซต์ เราจะไม่ตั้งค่าคุกกี้เสริมเว้นแต่คุณจะเปิดใช้งาน การใช้เครื่องมือนี้จะตั้งค่าคุกกี้บนอุปกรณ์ของคุณเพื่อจดจำการตั้งค่าของคุณ คุณสามารถเปลี่ยนการตั้งค่าคุกกี้ได้ตลอดเวลาโดยคลิกที่ลิงก์ 'การตั้งค่าคุกกี้' ที่ส่วนท้ายของทุกหน้า
สำหรับข้อมูลโดยละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุกกี้ที่เราใช้ โปรดดู หน้าคุกกี้

ยอมรับทั้งหมด
กำหนดค่า