คำถามการทบทวนวรรณกรรม
การเพิ่มสเปรย์น้ำเกลือล้างจมูกหรือยาล้างจมูกร่วมกับการดูแลปกติหรือยาหลอกจะช่วยลดความรุนแรงของอาการหรือเร่งการฟื้นตัวของผู้ใหญ่และเด็กที่มีอาการหวัดหรือไข้หวัดใหญ่ที่เกิดขึ้นน้อยกว่า 4 สัปดาห์ได้หรือไม่
ความเป็นมา
การติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนเฉียบพลัน (URTIs) ได้แก่ หวัด ไข้หวัดใหญ่ และการติดเชื้อที่คอ จมูก หรือไซนัส โดยปกติแล้วการติดเชื้อไวรัสจะหายได้เอง แต่บางครั้งอาการอาจคงอยู่เป็นเวลาหลายสัปดาห์หลังจากการติดเชื้อเริ่มแรกหายไป โดยมีหรือไม่มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนเกิดขึ้นก็ได้ จุดมุ่งหมายของการรักษาคือเพื่อบรรเทาอาการเป็นหลัก แม้ว่าการรักษาบางอย่างอาจมีบทบาทในการลดระยะเวลาของอาการหลังติดไวรัส เช่น อาการไอ สเปรย์น้ำเกลือสำหรับพ่นจมูกและน้ำล้างจมูกปริมาณมากได้รับความนิยมมากขึ้นในฐานะหนึ่งในทางเลือกการรักษาการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน (URTIs) และยังได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการรักษาไซนัสอักเสบเรื้อรังและหลังการผ่าตัดจมูก อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อมูลเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับประสิทธิภาพของการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือในการรักษาโรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนเฉียบพลัน (acute URTI) หรืออาการใดบ้างที่อาจตอบสนองต่อการรักษานี้
ลักษณะของการศึกษา
เราได้ระบุการศึกษา 5 ฉบับ โดยมีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 749 ราย และมีผู้เข้าร่วม 565 รายที่ให้ข้อมูล ซึ่งตอบโจทย์คำถามการวิจัยและตรงตามเกณฑ์ ทั้งหมดเปรียบเทียบการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือกับการดูแลตามปกติหรือสเปรย์พ่นจมูกชนิดอื่น การศึกษาเหล่านี้ครอบคลุมกลุ่มอายุ ประเทศ ขนาดตัวอย่าง วิธีการและความถี่ในการให้ยา ตลอดจนระยะเวลาตั้งแต่เริ่มมีอาการของโรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน (URTI) ที่แตกต่างกันอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ ยังมีความแปรปรวนอย่างมากในการออกแบบและอาการที่ใช้วัด สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ เนื่องจากไม่มีมาตรการประเมินอาการและอาการแสดงของโรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนที่สอดคล้องกันอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้ จึงมีตัวชี้วัดผลลัพธ์ที่ตรงกันน้อยมากซึ่งสามารถนำมารวมกันได้จากการศึกษาทั้ง 5 ฉบับนี้ เป็นข้อมูลล่าสุด ณ เดือนสิงหาคม ค.ศ. 2014
ผลลัพธ์ที่สำคัญ
การศึกษาเพิ่มเติมอีก 2 ฉบับที่ถูกรวมเข้ามานับตั้งแต่การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบฉบับดั้งเดิมนั้น ไม่ได้มีข้อมูลที่มีขนาดหรือคุณภาพเพียงพอที่จะทำให้ข้อค้นพบดั้งเดิมเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ มีเพียงการศึกษาฉบับที่ใหญ่ที่สุดเท่านั้น ซึ่งศึกษาในเด็ก 401 คน อายุ 6 ถึง 10 ปี ที่พบการลดลงอย่างมีนัยสำคัญของอาการหลายอย่าง ได้แก่ น้ำมูก อาการเจ็บคอ คะแนนการหายใจทางจมูก และอาการคัดจมูก ตลอดจนการใช้ยาแก้คัดจมูกเพิ่มเติมที่ลดลง ยังรายงานว่าคะแนนสถานะสุขภาพดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญอีกด้วย สำหรับผลลัพธ์ด้านระยะเวลาจนอาการหาย ซึ่งมีรายงานอยู่ในการศึกษา 2 ฉบับในผู้ใหญ่ พบว่าระยะเวลาลดลง แต่ความแตกต่างนั้นไม่มีนัยสำคัญทางคลินิก การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือมีความปลอดภัยแต่ก็อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงเล็กน้อย เช่น อาการระคายเคืองหรือแสบร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผลิตภัณฑ์ที่มีอัตราการไหลสูงหรือความเข้มข้นสูง
คุณภาพของหลักฐานงานวิจัย
การศึกษาส่วนใหญ่มีขนาดเล็กและมีข้อบกพร่องที่สำคัญในการออกแบบหรือการดำเนินการวิจัย ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม ซึ่งควรเป็นการศึกษาที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและใช้ตัวชี้วัดผลลัพธ์ที่ตรงกัน เพื่อสรุปให้แน่ชัดถึงบทบาทและศักยภาพของการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือในการลดความรุนแรงและระยะเวลาของอาการติดเชื้อเฉียบพลันของทางเดินหายใจส่วนบน (URTI), การติดเชื้อแทรกซ้อน และอาจรวมถึงการใช้ยาปฏิชีวนะ
อ่านบทคัดย่อฉบับเต็ม
การติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนเฉียบพลัน (URTIs) รวมถึงโรคหวัดธรรมดาและไซนัสอักเสบ เป็นโรคทั่วไปที่ทำให้เกิดความไม่สบายตัวและอ่อนแรง และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการขาดงาน โดยทั่วไปการรักษาจะใช้ยาลดไข้และยาแก้คัดจมูก และบางครั้งอาจใช้ยาปฏิชีวนะ แม้ว่าการติดเชื้อส่วนใหญ่จะเป็นไวรัสก็ตาม การล้างจมูกด้วยน้ำเกลือมักใช้เป็นการรักษาเสริมสำหรับอาการ URTI แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานที่สนับสนุนว่ามีประโยชน์ในทางคลินิกมากนักก็ตาม บทวิจารณ์นี้เป็นการอัปเดตบทวิจารณ์ Cochrane โดย Kassel และคณะ ซึ่งพบว่าการล้างจมูกด้วยน้ำเกลืออาจมีประสิทธิผลในการลดความรุนแรงของอาการบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนเฉียบพลัน
วัตถุประสงค์
เพื่อประเมินผลของการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือในการรักษาอาการของโรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนต้นเฉียบพลัน
วิธีการสืบค้น
เราค้นหา CENTRAL (2014, ฉบับที่ 7), MEDLINE (1966 ถึง กรกฎาคม สัปดาห์ที่ 5 2014), EMBASE (1974 ถึง สิงหาคม 2014), CINAHL (1982 ถึง สิงหาคม 2014), AMED (1985 ถึง สิงหาคม 2014) และ LILACS (1982 ถึง สิงหาคม 2014)
เกณฑ์การคัดเลือก
การทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม (RCT) เปรียบเทียบการรักษาด้วยการล้างจมูกน้ำเกลือกับการแทรกแซงอื่นๆ ในผู้ใหญ่และเด็กที่มีภาวะ URTI เฉียบพลันที่ได้รับการวินิจฉัยทางคลินิก
การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล
ผู้เขียนการทบทวนวรรณกรรม 2 คน (DK, BM) ประเมินคุณภาพของการทดลองโดยใช้เครื่องมือ 'Risk of bias' ของ Cochrane และดึงข้อมูลออกมาอย่างเป็นอิสระต่อกัน เราวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดโดยใช้ซอฟต์แวร์ Cochrane Review Manager เนื่องจากผลลัพธ์มีความแปรปรวนมาก จึงสามารถรวบรวมผลลัพธ์ได้เพียงเล็กน้อยเพื่อวิเคราะห์ทางสถิติ
ผลการวิจัย
เราได้ระบุ RCT จำนวน 5 ฉบับ ที่สุ่มเด็กจำนวน 544 คน (การศึกษา 3 ฉบับ) และผู้ใหญ่จำนวน 205 คน (จากการศึกษา 2 ฉบับโดยเฉพาะ) การศึกษาทั้งหมดนี้เปรียบเทียบการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือกับการดูแลตามปกติหรือสเปรย์พ่นจมูกชนิดอื่น แทนที่จะเป็นการเปรียบเทียบกับยาหลอก เราได้รวมการทดลองใหม่ 2 ฉบับ ในการอัปเดตนี้ ซึ่งไม่ได้มีข้อมูลที่มีขนาดหรือคุณภาพเพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงผลการค้นพบเดิมอย่างมีนัยสำคัญ การทดลองส่วนใหญ่มีขนาดเล็ก และเราตัดสินว่าการทดลองเหล่านั้นมีคุณภาพต่ำส่งผลให้มีความเสี่ยงของการมีอคติ ที่ไม่ชัดเจน การวัดผลลัพธ์ส่วนใหญ่มีความแตกต่างกันอย่างมากระหว่างการศึกษาที่รวมอยู่ ดังนั้นจึงไม่สามารถนำมารวมกันได้ ผลลัพธ์ส่วนใหญ่แสดงให้เห็นว่าไม่มีความแตกต่างระหว่างการรักษาโดยการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือและกลุ่มควบคุม อย่างไรก็ตาม การทดลองขนาดใหญ่ 1 ฉบับ ซึ่งศึกษากับเด็กๆ แสดงให้เห็นการลดลงอย่างมีนัยสำคัญในคะแนนการหลั่งน้ำมูก (ความแตกต่างเฉลี่ย (MD) -0.31, ช่วงความเชื่อมั่น 95% (CI) -0.48 ถึง -0.14) และคะแนนการหายใจทางจมูก (การอุดตัน) (MD -0.33, ช่วงความเชื่อมั่น 95% -0.47 ถึง -0.19) ในกลุ่มที่ใช้น้ำเกลือ อย่างไรก็ตาม ค่า MD ที่ -0.33 บนมาตราส่วนอาการสี่ระดับอาจมีนัยสำคัญทางคลินิกน้อยที่สุด การทดลองยังแสดงให้เห็นการลดลงอย่างมีนัยสำคัญในการใช้ยาแก้คัดจมูกโดยกลุ่มที่ใช้น้ำเกลือล้างจมูก อาการไม่สบายจมูกเล็กน้อยและ/หรือระคายเคืองเป็นผลข้างเคียงเพียงอย่างเดียวที่ผู้เข้าร่วมส่วนน้อยรายงาน
ข้อสรุปของผู้วิจัย
การล้างจมูกด้วยน้ำเกลืออาจมีประโยชน์ในการบรรเทาอาการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนเฉียบพลัน อย่างไรก็ตาม การทดลองที่รวมอยู่โดยทั่วไปมีขนาดเล็กเกินไปและมี ความเสี่ยงของการมีอคติ ซึ่งทำให้ความเชื่อมั่นในหลักฐานที่สนับสนุนสิ่งนี้ลดลง การทดลองในอนาคตควรมีผู้เข้าร่วมจำนวนมากขึ้น และรายงานการวัดผลลัพธ์ที่เป็นมาตรฐานและมีความหมายทางคลินิก
แปลโดย พญ.ชุติมา ชุณหะวิจิตร วันที่ 21 กรกฎาคม 2025