ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

การจ่ายยาปฏิชีวนะล่าช้า(Delayed antibiotic prescriptions) สำหรับการติดเชื้อทางเดินหายใจ

คำถามของการทบทวนวรรณกรรม

การเลื่อน การให้ยาปฏิชีวนะเมื่อเปรียบเทียบกับการสั่งจ่ายยา ทันที หรือ การไม่ให้ ยาจะลดจำนวนยาปฏิชีวนะที่ต้องใช้กับผู้ที่ติดเชื้อทางเดินหายใจ รวมถึงอาการเจ็บคอ หูชั้นกลางอักเสบ อาการไอ (หลอดลมอักเสบ) และโรคไข้หวัดหรือไม่

ความเป็นมา

การใช้ยาปฏิชีวนะมากเกินไปจะเพิ่มความเสี่ยงของอาการไม่พึงประสงค์ และส่งผลให้ค่ารักษาพยาบาลสูงขึ้น และเพิ่มการดื้อยาของเชื้อแบคทีเรีย กลยุทธ์หนึ่งในการลดการใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็นคือต้องมีเขียนใบจ่ายยาปฏิชีวนะ แต่แนะนำให้ชะลอการใช้ยาออกไป ผู้สั่งจ่ายยาจะประเมินว่าไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะในทันที โดยคาดหวังว่าอาการจะหายได้โดยไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ

เราค้นหาการศึกษาที่เปรียบเทียบการให้ยาปฏิชีวนะ ที่ล่าช้าหรือเลื่อนออกไป เปรียบเทียบกับการให้ยาปฏิชีวนะ ทันที หรือ ไม่ให้เลย สำหรับการติดเชื้อทางเดินหายใจ โดยไม่คำนึงถึงว่ามีข้อบ่งชี้ในการให้ยาปฏิชีวนะหรือไม่ นอกจากนี้เรายังประเมินการใช้ยาปฏิชีวนะ ความพึงพอใจของผู้ป่วย การดื้อยาปฏิชีวนะ อัตราการกลับมาปรึกษาซ้ำ และการใช้การรักษาทางเลือกอื่น นี่เป็นการปรับปรุงการทบทวนวรรณกรรมที่เผยแพร่ครั้งแรกในปี 2007 และปรับปรุงมาก่อนหน้านี้ในปี 2010, 2013 และ 2017

วันที่ค้นหา

หลักฐานเป็นปัจจุบันถึงวันที่ 20 สิงหาคม 2022

ลักษณะของการศึกษา

เรารวมการศึกษา 12 ฉบับ มีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 3968 คน ซึ่งมีข้อมูลจาก 3750 คนสำหรับการประเมินกลยุทธ์การสั่งจ่ายยาสำหรับผู้ที่มีการติดเชื้อทางเดินหายใจที่หลากหลาย การศึกษา 11 ฉบับเปรียบเทียบกลยุทธ์ในการ ชะลอหรือให้ล่าช้าของการใช้ ยาปฏิชีวนะกับ การสั่งจ่ายยาทันที การศึกษา 5 ฉบับเปรียบเทียบยาปฏิชีวนะ ที่ให้ล่าช้า กับ การไม่ให้ ยาปฏิชีวนะ จากการศึกษา 12 ฉบับ มี 6 ฉบับที่ศึกษาในเด็กเท่านั้น (ผู้เข้าร่วม 1569 คน) 2 ฉบับ ศึกษาเฉพาะในผู้ใหญ่ (ผู้เข้าร่วม 589 คน) และ 4 ฉบับศึกษาทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ (ผู้เข้าร่วม 1596 คน) การศึกษาใหม่ที่รวมอยู่ในการปรับปรุงการทบทวนวรรณกรรมนี้มีผู้เข้าร่วม 448 คน และ 436 คนได้รับการวิเคราะห์จากการใช้เกณฑ์การคัดออก

แหล่งทุนของการศึกษา

การศึกษา 2 ฉบับได้รับทุนจากบริษัทยา การศึกษา 2 ฉบับไม่ได้อธิบายแหล่งเงินทุน และการศึกษาที่เหลืออีก 8 ฉบับได้รับทุนจากสถาบันของรัฐหรือวิทยาลัยเฉพาะทาง

ผลลัพธ์ที่สำคัญ

การใช้ยาปฏิชีวนะมีมากที่สุดในกลุ่มที่ให้ยาปฏิชีวนะ ทันที (93%) รองลงมาคือกลุ่มที่ชะลอหรือ ที่ล่าช้า ของการให้ยาปฏิชีวนะ (29% และกลุ่มที่ ไม่ให้ ยาปฏิชีวนะ (13%)

ความพึงพอใจของผู้ป่วยมีความคล้ายคลึงกันสำหรับผู้ที่ได้ยาปฏิชีวนะ ที่ล่าช้า (พอใจ 88%) เปรียบเทียบกับการให้ยาปฏิชีวนะ ทันที (พอใจ 90%) แต่มีมากกว่ากลุ่มที่ ไม่ให้ ยาปฏิชีวนะเลย (พอใจ 86% เทียบกับ 81%)

ไม่มีความแตกต่างระหว่างการให้ยาปฏิชีวนะ ทันที ล่าช้า และ ไม่ให้ สำหรับอาการต่างๆ รวมถึงมีไข้ ปวด รู้สึกไม่สบาย ไอ และมีน้ำมูกไหล ความแตกต่างมีเพียงเล็กน้อยที่สนับสนุน กลุ่มที่ให้ยาทันที คือลดอาการปวด ลดไข้ และน้ำมูกไหลเพื่อรักษาอาการเจ็บคอ และความเจ็บปวดและความรู้สึกไม่สบายจากการติดเชื้อที่หูชั้นกลาง เมื่อเทียบกับ การไม่ให้ ยาปฏิชีวนะ การให้ยาปฏิชีวนะ ล่าช้า ทำให้อาการปวด อาการไข้ และอาการไอของผู้ป่วยโรคหวัดลดลงเล็กน้อย ผลข้างเคียงของยาปฏิชีวนะมีความแตกต่างกันเล็กน้อย และไม่มีความแตกต่างที่มีนัยสำคัญในการเกิดภาวะแทรกซ้อน

ในเดือนแรกหลังจากการให้คำปรึกษาเบื้องต้น การศึกษา 2 ฉบับ ระบุว่าผู้เข้าร่วมไม่น่าจะกลับมาพบแพทย์อีกทั้งในกลุ่ม ที่ให้การสั่งจ่ายยาล่าช้า หรือกลุ่มที่สั่งจ่ายยา ทันที หากไม่รวมเดือนแรก การศึกษา 1 ฉบับพบว่าผู้เข้าร่วมไม่น่าจะกลับไปพบแพทย์อีกในช่วง 12 เดือนหลังจากการสั่งจ่ายยา ล่าช้า หรือ ทันที สำหรับการติดเชื้อทางเดินหายใจอื่น และการศึกษาอีกชิ้นพบว่าผู้เข้าร่วมมีแนวโน้มที่จะกลับมาพบแพทย์มากขึ้นในอีก 12 เดือนข้างหน้า หากอยู่ในกลุ่มสั่งยา ทันที เปรียบเทียบกับการสั่งยาที่ ล่าช้าหรือชะลอออกไป

การศึกษา 2 ฉบับ ซึ่งรวมถึงเด็กที่เป็นโรคหูน้ำหนวกเฉียบพลันรายงานการใช้ยาอื่นๆ ในกลุ่มที่ได้ยาปฏิชีวนะ ที่ล่าช้า และ ทันที ไม่มีความแตกต่างในการใช้ไอบูโพรเฟน พาราเซตามอล และยาหยอดในการศึกษา 1 ฉบับ ในการศึกษาอื่นอีก 1 ฉบับมีการใช้พาราเซตามอลในกลุ่มยาปฏิชีวนะที่ให้ ทันที น้อยกว่าเมื่อเทียบกับกลุ่มยาปฏิชีวนะ ที่ล่าช้า ในวันที่ 2 และ 3 หลังจากการมีอาการครั้งแรกของเด็ก ไม่มีการศึกษาที่รวบรวมมาประเมินยาสมุนไพรหรือยาเสริมรูปแบบอื่น

ไม่มีการศึกษาที่รวมเข้าประเมินการดื้อยาปฏิชีวนะ

ความน่าเชื่อถือของหลักฐาน

ความเชื่อมั่นของเราต่อหลักฐานอยู่ในระดับปานกลางเนื่องจากความกังวลว่าบุคคลในการศึกษาไม่ได้รับการสุ่มเข้าในกลุ่มการรักษาที่แตกต่างกัน ซึ่งหมายความว่าความแตกต่างระหว่างกลุ่มอาจเกิดจากความแตกต่างระหว่างคนมากกว่าระหว่างการรักษา มีความเป็นไปได้ว่าผู้เข้าร่วมในการศึกษาทราบว่าพวกเขาได้รับการรักษาด้วยวิธีการใด นอกจากนี้ ไม่ใช่ทุกการศึกษาที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เราสนใจ

เมื่อแพทย์รู้สึกว่าปลอดภัยที่จะไม่สั่งยาปฏิชีวนะ ทันที และให้คำแนะนำ ไม่ให้ยา แต่ให้กลับมาใหม่ถ้าอาการไม่หาย แทนที่จะสั่งยาปฏิชีวนะ ล่าช้า จะส่งผลให้มีการใช้ยาปฏิชีวนะน้อยลง แต่อาจทำให้ผู้ป่วยพึงพอใจน้อยลง การใช้ยาปฏิชีวนะ ที่ล่าช้า จะยังคงส่งผลให้การใช้ยาปฏิชีวนะลดลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับการให้ยาปฏิชีวนะ ทันที

บทนำ

มีความกังวลเกี่ยวกับการจ่ายยาปฏิชีวนะสำหรับการติดเชื้อทางเดินหายใจ (respiratory tract infections; RTIs) เนื่องจากอาการไม่พึงประสงค์ ต้นทุน และการดื้อยาต้านแบคทีเรีย กลยุทธ์หนึ่งที่เสนอเพื่อลดการสั่งจ่ายยาปฏิชีวนะ คือการให้ใบสั่งยา แต่แนะนำให้ชะลอการใช้ยาปฏิชีวนะโดยคาดหวังว่าอาการของโรคจะดีขึ้นก่อนการได้ยา นี่เป็นการปรับปรุงการทบทวนวรรณกรรมที่เผยแพร่ครั้งแรกในปี 2007 และมีการปรับปรุงในปี 2010, 2013 และ 2017

วัตถุประสงค์

เพื่อประเมินผลกระทบต่อระยะเวลา และ/หรือความรุนแรงของผลลัพธ์ทางคลินิก (ความเจ็บปวด อาการป่วย ไข้ ไอ และน้ำมูกไหล) การใช้ยาปฏิชีวนะ การดื้อยาปฏิชีวนะ และความพึงพอใจของผู้ป่วยในการได้รับคำแนะนำการจ่ายยาปฏิชีวนะที่ ล่าช้า ในการติดเชื้อทางเดินหายใจ

วิธีการสืบค้น

ข้อมูลตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2017 จนถึง 20 สิงหาคม 2022 นี่เป็นการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบพร้อมการค้นหาทุกเดือนของ Cochrane Central Register of Controlled Trials (CENTRAL), MEDLINE, Embase, CINAHL และ Web of Science นอกจากนี้เรายังสืบค้นจาก WHO International Clinical Trials Registry Platform (ICTRP) และ ClinicalTrials.gov เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2022 เนื่องจากมีหลักฐานมากมายที่สนับสนุนการค้นพบที่สำคัญของการทบทวน การทบทวนวรรณกรรมจึงยุติการทบทวนอย่างเป็นระบบในวันที่ 21 สิงหาคม 2022

เกณฑ์การคัดเลือก

การทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุมที่มีผู้เข้าร่วมทุกวัยที่มี RTI โดยเปรียบเทียบการให้ยาปฏิชีวนะ ที่ล่าช้า กับยาปฏิชีวนะที่ ให้ทันที หรือ ไม่ได้ให้เลย เรากำหนดให้การให้ยาปฏิชีวนะ ที่ล่าช้า เป็นการให้คำแนะนำในการชะลอการรับยาปฏิชีวนะออกไปอย่างน้อย 48 ชั่วโมง เราพิจารณา RTI ทั้งหมดโดยไม่คำนึงว่าจะแนะนำให้ใช้ยาปฏิชีวนะหรือไม่

การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล

เราใช้ระเบียบวิธีมาตรฐานของ Cochrane

ผลการวิจัย

สำหรับการปรับปรุงการทบทวนวรรณกรรมในปี 2022 นี้ เราได้เพิ่มการทดลองใหม่ 1 ฉบับที่มีอาสาสมัครเด็ก 448 คน (ทำการวิเคราะห์ 436 คน) ที่มี RTI เฉียบพลันที่ไม่ซับซ้อน โดยรวมแล้ว การทบทวนนี้ประกอบด้วยการศึกษา 12 ฉบับ มีผู้เข้าร่วมทั้งหมด 3968 คน ซึ่งมีข้อมูลจาก 3750 คนพร้อมสำหรับการวิเคราะห์ การศึกษา 12 ฉบับ เกี่ยวข้องกับ RTI เฉียบพลัน รวมถึงโรคหูน้ำหนวกเฉียบพลัน (การศึกษา 3 ฉบับ) คอหอยอักเสบจากเชื้อสเตรปโตคอคคัส (การศึกษา 3 ฉบับ) อาการไอ (การศึกษา 2 ฉบับ) อาการเจ็บคอ (การศึกษา 1 ฉบับ) โรคไข้หวัด (การศึกษา 1 ฉบับ) และ RTI ต่างๆ (การศึกษา 2 ฉบับ) การศึกษา 6 ฉบับ ศึกษาในเด็กเท่านั้น มี 2 ฉบับ ศึกษาในผุ้ใหญ่เท่านั้น และ 4 ฉบับ ศึกษาทั้งในผู้ใหญ่และเด็ก มีการศึกษา 6 ฉบับ ศึกษาในหน่วยบริการปฐมภูมิ การศึกษา 4 ฉบับ ศึกษาในคลินิกเด็ก และอีก 2 ฉบับ ศึกษาในแผนกฉุกเฉิน

การศึกษาได้รับการรายงานอย่างดีและดูเหมือนว่าจะให้หลักฐานที่มีความเชื่อมั่นปานกลาง การสุ่มไม่ได้อธิบายไว้อย่างเพียงพอในการศึกษา 2 ฉบับ การศึกษา 4 ฉบับมีการปกปิดผู้ประเมินผลลัพธ์ และการศึกษา 3 ฉบับ มีการปกปิดผู้เข้าร่วมและแพทย์ เราทำการวิเคราะห์เมตต้าสำหรับความเจ็บปวด อาการป่วย ไข้ ผลข้างเคียง การใช้ยาปฏิชีวนะ และความพึงพอใจของผู้ป่วย

อาการไอ (การศึกษา 4 ฉบับ) : เราไม่พบความแตกต่างระหว่าง การล่าช้า ให้ทันที และ ไม่ให้ ยาปฏิชีวนะสำหรับผลลัพธ์ทางคลินิกในการศึกษาทั้ง 4 ฉบับ

อาการเจ็บคอ (การศึกษา 6 ฉบับ) : สำหรับผลของเรื่องไข้และเจ็บคอ การศึกษา 4 ใน 6 ฉบับสนับสนุนการให้ยาปฏิชีวนะ ทันที และ 2 ฉบับไม่พบความแตกต่าง สำหรับผลลัพธ์ของอาการปวดที่เกี่ยวข้องกับอาการเจ็บคอ มีการศึกษา 2 ฉบับที่สนับสนุนการใช้ยาปฏิชีวนะ แบบเร่งด่วนทันที และ การศึกษา 4 ฉบับพบว่าไม่มีความแตกต่าง การศึกษา 2 ฉบับเปรียบเทียบยาปฏิชีวนะ ที่ล่าช้า กับ การไม่ให้ ยาปฏิชีวนะสำหรับอาการเจ็บคอ และพบว่าผลลัพธ์ทางคลินิกไม่มีความแตกต่างกัน

หูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน (การศึกษา 4 ฉบับ) : การศึกษา 2 ฉบับเปรียบเทียบการให้ยาปฏิชีวนะ ทันที กับ ล่าช้า - การศึกษา 1 ฉบับพบว่าไม่มีความแตกต่างในเรื่องไข้ และการศึกษาอีก 1 ฉบับ สนับสนุนการให้ยาปฏิชีวนะ ทันที เพื่อรักษาอาการปวดและความรุนแรงของอาการไม่สบายในวันที่ 3 การศึกษา 2 ฉบับเปรียบเทียบการให้ยาปฏิชีวนะ ล่าช้า กับ ไม่ให้ ยาปฏิชีวนะ: การศึกษา 1 ฉบับพบว่าไม่มีความแตกต่างสำหรับความเจ็บปวดและความรุนแรงของไข้ในวันที่ 3 และการศึกษาอีก 1 ฉบับ พบว่าไม่มีความแตกต่างกับจำนวนเด็กที่เป็นไข้ในวันที่ 3

โรคไข้หวัด (การศึกษา 2 ฉบับ) : ไม่มีการศึกษาใดพบความแตกต่างสำหรับผลลัพธ์ทางคลินิกระหว่างกลุ่มยาปฏิชีวนะ ที่ให้ล่าช้า และ กลุ่มที่ให้ยาปฏิชีวนะทันที การศึกษา 1 ฉบับพบว่าการให้ยาปฏิชีวนะ ที่ล่าช้า อาจได้รับผลดีกว่า การไม่ให้ สำหรับระยะเวลาของอาการปวด อาการไข้ และไอ (หลักฐานความเชื่อมั่นปานกลาง)

ผลข้างเคียง : ไม่มีความแตกต่างสำหรับผลข้างเคียงหรือผลลัพธ์ที่อาจสนับสนุน การให้ยาล่าช้า มากกว่าการจ่ายยาปฏิชีวนะ ทันที โดยไม่มีความแตกต่างที่มีนัยสำคัญในอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อน (หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ)

การใช้ยาปฏิชีวนะ : การให้ล่าช้าของ ยาปฏิชีวนะอาจส่งผลให้การใช้ยาปฏิชีวนะลดลงเมื่อเทียบกับการให้ยาปฏิชีวนะ ทันที (odds ratio (OR) 0.03, 95% ช่วงความเชื่อมั่น (CI) 0.01 ถึง 0.07; การศึกษา 8 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 2257 คน; หลักฐานความเชื่อมั่นปานกลาง) อย่างไรก็ตาม การให้ยาปฏิชีวนะ ที่ล่าช้า น่าจะส่งผลให้มีรายงานการใช้ยาปฏิชีวนะมากกว่า การไม่ ใช้ยาปฏิชีวนะ (OR 2.52, 95% CI 1.69 ถึง 3.75; การศึกษา 5 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 1529 คน; หลักฐานความเชื่อมั่นปานกลาง)

ความพึงพอใจของผู้ป่วย : ความพึงพอใจของผู้ป่วยอาจสนับสนุนในเรื่องการยาปฏิชีวนะ ให้แบบล่าช้า มากกว่าการ ไม่ให้ (OR 1.45, 1.08 ถึง 1.96; การศึกษา 5 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 1523 คน; หลักฐานความเชื่อมั่นปานกลาง) ความพึงพอใจของผู้ป่วยอาจไม่แตกต่างกันระหว่างการให้ยาปฏิชีวนะ ที่ล่าช้า และการให้ยาปฏิชีวนะ ทันที (OR 0.77, 95% CI 0.45 ถึง 1.29; การศึกษา 7 เรื่อง, ผู้เข้าร่วม 1927 คน; หลักฐานความเชื่อมั่นปานกลาง)

ไม่มีการศึกษาใดที่ประเมินการดื้อยาปฏิชีวนะ อัตราการกลับมาขอคำปรึกษาซ้ำและการใช้ยาทางเลือกมีความคล้ายคลึงกันสำหรับกลยุทธ์ ที่ให้ยาปฏิชีวนะล่าช้า การให้ยาทันที และ การไม่ให้ ยาปฏิชีวนะ มีการศึกษา 1 ใน 4 ฉบับ ที่รายงานการใช้ยาทางเลือก มีการใช้พาราเซตามอลในกลุ่มที่ให้ยาปฏิชีวนะทันที น้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ให้ยาปฏิชีนะล่าช้า

ข้อสรุปของผู้วิจัย

สำหรับผลลัพธ์ทางคลินิกหลายอย่าง ไม่มีความแตกต่างระหว่างกลยุทธ์การสั่งจ่ายยา อาการของโรคหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลันและอาการเจ็บคอดีขึ้นเล็กน้อยในกลุ่มที่ใช้ยาปฏิชีวนะ ทันที เมื่อเทียบกับกลุ่มยาปฏิชีวนะ ที่ล่าช้า ไม่มีความแตกต่างในอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อน การสั่ง จ่ายยาให้ล่าช้าไม่ได้ส่งผลให้ระดับความพึงพอใจของผู้ป่วยแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับการให้ยาปฏิชีวนะ ทันที (86% เทียบกับ 91%; หลักฐานความเชื่อมั่นปานกลาง) อย่างไรก็ตาม การสั่งจ่ายยาให้ล่าช้า ได้รับการยอมรับมากกว่า การไม่ให้ ยาปฏิชีวนะ (87% เทียบกับ 82%) ยาปฏิชีวนะ ที่สั่งจ่ายล่าช้า มีอัตราการใช้ยาปฏิชีวนะที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการสั่งจ่ายยาปฏิชีวนะ ทันที (30% เทียบกับ 93%) กลยุทธ์ของ การไม่ให้ ยาปฏิชีวนะช่วยลดการใช้ยาปฏิชีวนะมากขึ้นเมื่อเทียบกับ การชะลอหรือเลื่อนหรือให้ล่าช้า ของการสั่งยาปฏิชีวนะ (13% เทียบกับ 27%)

ยาปฏิชีวนะ ที่สั่งจ่ายล่าช้า สำหรับผู้ที่มีการติดเชื้อทางเดินหายใจเฉียบพลันช่วยลดการใช้ยาปฏิชีวนะเมื่อเทียบกับการให้ยาปฏิชีวนะ ทันที แต่ไม่ได้แสดงให้เห็นว่ามีความแตกต่างจาก การไม่ให้ ยาปฏิชีวนะในแง่ของการควบคุมอาการและภาวะแทรกซ้อนของโรค ในกรณีที่แพทย์รู้สึกว่าปลอดภัยที่จะไม่สั่งยาปฏิชีวนะทันทีสำหรับผู้ที่เป็นโรค RTIs การไม่ให้ ยาปฏิชีวนะพร้อมกับให้คำแนะนำให้กลับมาหากอาการไม่หายมีแนวโน้มที่จะส่งผลให้มีการใช้ยาปฏิชีวนะน้อยที่สุด ในขณะเดียวกันก็รักษาความพึงพอใจของผู้ป่วยและผลลัพธ์ทางคลินิกที่คล้ายคลึงกันกับการให้ยายาปฏิชีวนะ ที่ล่าช้า ในกรณีที่แพทย์ไม่มั่นใจว่าจะไม่สั่งยาปฏิชีวนะ การสั่งยาปฏิชีวนะ ที่ล่าช้า อาจเป็นที่ยอมรับได้แทนการสั่งจ่ายยา ทันที เพื่อลดการใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็นสำหรับ RTIs อย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกันก็รักษาระดับความปลอดภัยและความพึงพอใจของผู้ป่วย

การศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลยุทธ์การสั่งจ่ายยาปฏิชีวนะสำหรับ RTI อาจมุ่งเน้นไปที่การระบุกลุ่มผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะแทรกซ้อนของโรค ปรับปรุงการสื่อสารของแพทย์กับผู้ป่วยเพื่อรักษาความพึงพอใจ แนวทางในการเพิ่มความมั่นใจของแพทย์ที่จะไม่สั่งยาปฏิชีวนะสำหรับ RTI และมาตรการเชิงนโยบายการลดการสั่งจ่ายยาปฏิชีวนะที่ไม่จำเป็นสำหรับรักษา RTIs

บันทึกการแปล

แปลโดย พญ.วิลาสินี หน่อแก้ว โรงพยาบาลมะเร็งอุบลราชธานี Edit โดย พ.ญ. ผกากรอง ลุมพิกานนท์ 27 กันยายน 2024

Citation
Spurling GKP, Dooley L, Clark J, Askew DA. Immediate versus delayed versus no antibiotics for respiratory infections. Cochrane Database of Systematic Reviews 2023, Issue 10. Art. No.: CD004417. DOI: 10.1002/14651858.CD004417.pub6.