ใจความสำคัญ
• การเจาะน้ำไขสันหลังบ่อยครั้งทำในทารกแรกเกิดที่มีการติดเชื้อรุนแรงแต่ก็อาจทำได้ยาก โดยพบความล้มเหลวถึง 50% ของความพยายามในการเจาะน้ำไขสันหลัง
• เราระบุการศึกษาที่เปรียบเทียบท่าที่แตกต่างกันของร่างกายสามท่าในระหว่างการเจาะน้ำไขสันหลัง: ท่านอนตะแคงข้าง (เดคิวบิทัสด้านข้าง) ท่านั่ง และท่านอนคว่ำหน้า (คว่ำ) ในทุกท่าควรเก็บขาทารกไว้และงอคอไปข้างหน้า (งอ)
• มีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยหรือไม่แตกต่างกันเลยในอัตราความสำเร็จระหว่างท่านั่งและท่านอนตะแคงข้าง และอาจมีโอกาสสำเร็จในท่านอนคว่ำมากกว่าท่านอนตะแคงข้าง อาจมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ในท่านอนตะแคงข้างมากกว่าท่านั่ง
การเจาะน้ำไขสันหลังคืออะไร
การเจาะน้ำไขสันหลังหรือที่เรียกกันทั่วไปว่าการเจาะน้ำไขสันหลังเป็นขั้นหัตถการที่ทำการสอดเข็มเข้าไปในกระดูกสันหลัง การเจาะน้ำไขสันหลังสามารถทำได้ด้วยหลายเหตุผลและทุกช่วงวัย หัตถการนี้มักทำบ่อยในทารกแรกเกิดเพื่อหาภาวะติดเชื้อที่รุนแรง รวมถึงการติดเชื้อที่ส่งผลต่อสมองและกระดูกสันหลัง เพื่อให้ได้น้ำไขสันหลัง (ของเหลวที่บริเวณหุ้มสมองและไขสันหลัง) หรือเพื่อให้ยา เนื่องจากหัตถการนี้เกี่ยวข้องกับการสอดเข็ม การเจาะน้ำไขสันหลังอาจทำให้เกิดอาการเจ็บปวดและไม่สบายตัว
อาจใช้ท่าต่างๆกันในการเจาะน้ำไขสันหลัง เด็กอาจนอนตะแคงข้าง (เดคิวบิทัสด้านข้าง) นั่ง หรือนอนคว่ำ (คว่ำ) ในทุกท่าควรให้เด็กเก็บขาไว้และงอคอไปข้างหน้า (งอ)
เราต้องการค้นหาอะไร
เราต้องการทราบว่าการจัดท่าต่างๆ ของร่างกายในทารกแรกเกิดอาจส่งผลต่อโอกาสความสำเร็จในการเจาะน้ำไขสันหลังครั้งแรกหรือไม่ จำนวนครั้งในการเจาะน้ำไขสันหลังเพื่อให้สำเร็จ และจำนวนครั้งของเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ เช่น หัวใจเต้นช้า ระดับออกซิเจนในเลือดต่ำ และภาวะหยุดหายใจ (จำนวนครั้งของการไม่หายใจ) นอกจากนี้เรายังหาด้วยว่าเวลาที่ใช้ในการเจาะน้ำไขสันหลังมีความแตกต่างกันหรือไม่ ความเจ็บปวดและไม่สบายตัวระหว่างการเจาะน้ำไขสันหลัง ความจำเป็นที่ต้องใช้ยาแก้ปวดหรือยาระงับประสาทเพื่อทำการเจาะน้ำไขสันหลัง ภาวะเลือดออกและฟกช้ำจากการเจาะน้ำไขสันหลัง และอัตราการติดเชื้อที่เกี่ยวข้องกับการเจาะน้ำไขสันหลัง
เราทำอะไรไปแล้วบ้าง
เราค้นหาการศึกษาที่เปรียบเทียบการจัดท่าต่างๆ ของร่างกายขณะทำการเจาะน้ำไขสันหลังในทารกแรกเกิด เราเปรียบเทียบและสรุปผลการศึกษาและให้คะแนนความเชื่อมั่นของหลักฐาน โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น วิธีการศึกษาและขนาดการศึกษา
เราพบอะไร
เราพบการศึกษา 5 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับทารก 1476 คนที่ได้รับการเจาะน้ำไขสันหลัง มีเพียงการศึกษาเดียวที่มีทารก 171 คน ตรวจสอบทารกในท่านอนคว่ำ การศึกษาอื่นๆ เปรียบเทียบเด็กที่อยู่ในท่านอนตะแคงข้างและท่านั่ง การศึกษา 4 ฉบับตรวจสอบทารกที่ได้รับการเจาะน้ำไขสันหลังเป็นประจำ ในขณะที่การศึกษา 1 ฉบับตรวจสอบการให้ยาระงับความรู้สึกเกี่ยวกับการเจาะน้ำไขสันหลังในทารกที่เข้ารับการผ่าตัด การทดลองที่เล็กที่สุดมีผู้เข้าร่วม 26 คน ในขณะที่การทดลองที่ใหญ่ที่สุดมี 1082 คน การศึกษานี้รวมทารกอายุประมาณห้าชั่วโมงถึงห้าสัปดาห์ โดยอายุครรภ์เฉลี่ย (นับจากประจำเดือนครั้งสุดท้ายของมารดา) อยู่ระหว่าง 31 ถึง 41 สัปดาห์ การศึกษาวิจัยประกอบด้วยเด็กผู้ชาย 864 คน เด็กผู้หญิง 580 คน และไม่ระบุเพศ 32 คน มี 2 การทดลอง ดำเนินการในสหรัฐอเมริกา และมีการดำเนินการในสเปน จีน และสหราชอาณาจักร ประเทศละ 1 การทดลอง มีการศึกษา 1 ฉบับได้รับทุนสาธารณะ ในขณะที่การศึกษาอีก 4 ฉบับไม่ได้ระบุแหล่งเงินทุนของพวกเขา
เราไม่พบการศึกษาใดที่รายงานจำนวนความพยายามในการเจาะน้ำไขสันหลังทั้งหมด หรือจำนวนทารกที่ประสบภาวะหยุดหายใจสำหรับการเปรียบเทียบใด เราพบว่าไม่มีการศึกษาที่รายงานจำนวนครั้งของอัตราการเต้นของหัวใจเต้นช้า ระดับออกซิเจนในเลือดต่ำ เวลาที่ใช้ในการเจาะน้ำไขสันหลัง หรือ จำนวนครั้งการหยุดหายใจในช่วงเวลาสั้นๆ เพื่อเปรียบเทียบระหว่างท่านอนตะแคงกับท่านอนคว่ำ
เมื่อเปรียบเทียบการเจาะน้ำไขสันหลังในทารกที่อยู่ในท่านอนตะแคงข้างและท่านั่ง เราพบว่าโอกาสการเจาะน้ำไขสันหลังสำเร็จในครั้งแรกอาจมีความแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย มีแนวโน้มว่าจะมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอัตราการเต้นของหัวใจช้าและระดับออกซิเจนในเลือดต่ำในท่านอนตะแคงข้าง อาจมีความแตกต่างเล็กน้อยหรือไม่มีเลยในด้านจำนวนครั้งของการหยุดหายใจ และเราไม่แน่ใจว่าท่าใดจะเร็วกว่าหรือไม่
เมื่อเปรียบเทียบการการเจาะน้ำไขสันหลังในทารกในท่านอนตะแคงข้างและท่านอนคว่ำ อาจมีโอกาสสำเร็จในการเจาะน้ำไขสันหลังในครั้งแรกน้อยกว่าหากทารกอยู่ในท่านอนตะแคงข้าง
ข้อจำกัดของหลักฐานคืออะไร
ด้วยความมั่นใจของข้อมูลที่เราพบอย่างมีข้อจำกัดเนื่องจากจำนวนการศึกษามีน้อยในการตรวจสอบคำถามแต่ละข้อสำหรับการเปรียบเทียบแต่ละครั้ง นอกจากนี้ การศึกษาบางส่วนยังใช้วิธีการที่อาจก่อให้เกิดข้อผิดพลาดในผลลัพธ์อีกด้วย ในการศึกษาบางเรื่อง ผู้วิจัยอาจทราบว่าอยู่ในท่าใด นอกจากนี้ ไม่มีการศึกษาใดที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลลัพธ์ทั้งหมดที่เรามุ่งเป้าในการค้นหา และความแตกต่างที่รายงานระหว่างกลุ่มค่อนข้างน้อย
หลักฐานนี้มีความทันสมัยแค่ไหน
หลักฐานเป็นปัจจุบันจนถึงมกราคม 2023
เมื่อเปรียบเทียบกับท่านั่ง พบว่าท่านอนตะแคงข้างอาจส่งผลให้การเจาะไขสันหลังทำได้สำเร็จในครั้งแรกมีเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย ไม่มีการศึกษาใดรายงานจำนวนความพยายามเจาะน้ำไขสันหลังทั้งหมด นอกจากนี้ทารกที่อยู่ในท่านอนตะแคงข้างมีแนวโน้มที่จะพบจำนวนครั้งของภาวะหัวใจเต้นช้าและภาวะออกซิเจนลดลงมีมากขึ้น และอาจมีความแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยในแง่จำนวนการเกิดภาวะหยุดหายใจ หลักฐานมีความไม่แน่นอนอย่างมากเกี่ยวกับเวลาที่ใช้ในการเจาะน้ำไขสันหลัง ระดับความเจ็บปวดในระหว่างและหลังการทำหัตถการได้มีการรายงานโดยใช้ระดับคะแนนความเจ็บปวดที่ไม่รวมอยู่ในเครื่องมือที่กำหนดไว้ล่วงหน้าสำหรับการประเมินความเจ็บปวดเนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอคติ ผู้เข้าร่วมการศึกษาส่วนใหญ่เป็นทารกแรกเกิดครบกำหนด ดังนั้นจึงเป็นข้อจำกัดในการนำผลลัพธ์เหล่านี้ไปใช้กับทารกคลอดก่อนกำหนด
เมื่อเปรียบเทียบกับท่าคว่ำ พบว่าท่านอนตะแคงข้างอาจลดความสำเร็จในการเจาะไขสันหลังในครั้งแรก มีเพียงการศึกษาเดียวเท่านั้นที่รายงานการเปรียบเทียบนี้ และไม่ได้ประเมินผลข้างเคียง
การวิจัยเพิ่มเติมที่สำรวจอันตรายและคุณประโยชน์ และผลกระทบต่อประสบการณ์ความเจ็บปวดของผู้ป่วยในการเจาะน้ำไขสันหลังในท่าต่างๆ ระหว่างการเจาะน้ำไขสันหลังโดยใช้เครื่องมือให้คะแนนระดับความเจ็บปวดที่ผ่านการตรวจสอบแล้วอาจเพิ่มระดับความเชื่อมั่นในข้อสรุปของเรา
การเจาะน้ำไขสันหลังเป็นหัตถการที่รุกร้ำซึ่งใช้บ่อยในทารกแรกเกิดเพื่อวัตถุประสงค์ในการวินิจฉัยและการรักษา ประมาณ 1 ใน 2 ของการการเจาะน้ำไขสันหลังไม่สำเร็จ ส่งผลให้เกิดผลเสียทั้งระยะสั้นและระยะยาวต่อการจัดการทางคลินิกของผู้ป่วย การจัดท่าที่ใช้บ่อยที่สุดที่ใช้ในการเจาะน้ำไขสันหลังคือให้ผู้ป่วยนอนตะแคงข้างและท่านั่ง และแต่ละท่าในการเจาะหลังสามารถส่งผลต่ออัตราความสำเร็จและความปลอดภัยของการทำหัตถการ อย่างไรก็ตาม ยังไม่แน่ใจว่าท่าการเจาะหลังแบบใดจะให้ผลลัพธ์ของผู้ป่วยได้ดีที่สุด
เพื่อประเมินประโยชน์และอันตรายของท่านอนตะแคงข้าง ท่านั่ง และท่านอนคว่ำสำหรับการเจาะน้ำไขสันหลังในทารกแรกเกิด
เราใช้วิธีการค้นหาแบบมาตรฐานและครอบคลุมตามวิธีการของ Cochrane วันที่ค้นหาล่าสุดคือ 24 มกราคม 2023
เรารวมการทดลองแบบ randomized controlled trials (RCTs) และ quasi-RCTs ที่เกี่ยวข้องกับทารกแรกเกิดที่มีอายุจนถึง 46 สัปดาห์และ 0 วัน นับจากประจำเดือนครั้งท้าย ที่ได้รับการเจาะน้ำไขสันหลังสำหรับข้อบ่งชี้ใดๆ โดยเปรียบเทียบท่าการทำหัตการที่แตกต่างกัน (เช่น ท่านอนตะแคง การนั่ง และท่านอนคว่ำ) ในระหว่างการทำหัตถการ
เราใช้วิธีตามมาตรฐานของ Cochrane เราใช้ fixed-effect model เพื่อประเมินผล risk ratio (RR) และ risk difference (RD) สำหรับข้อมูลชนิด dichotomous และผลต่างค่าเฉลี่ย (MD) หรือผลต่างค่าเฉลี่ยมาตรฐาน (SMD) สำหรับข้อมูลชนิดต่อเนื่อง โดยมีช่วงความเชื่อมั่น (CIs) 95% ผลลัพธ์หลักของเราคือความสำเร็จในการเจาะน้ำไขสันหลังในครั้งแรก จำนวนความพยายามเจาะน้ำไขสันหลังทั้งหมด และจำนวนครั้งการเกิดภาวะหัวใจเต้นช้า เราใช้ GRADE เพื่อประเมินความเชื่อมั่นของหลักฐานสำหรับผลลัพธ์แต่ละผลลัพพ์
เรารวมการศึกษา 5 ฉบับ ผู้เข้าร่วม 1476 คน
เมื่อเปรียบเทียบกับท่านั่ง: ท่านอนตะแคงข้างอาจส่งผลให้การเจาะเน้ำไขสันหลังทำได้สำเร็จครั้งแรก เพียงเล็กน้อยหรือไม่มีความแตกต่างเลย (RR 0.93, 95% CI 0.85 ถึง 1.02; RD −0.04, 95% CI −0.09 ถึง 0.01; I 2 = 70% และ 72% สำหรับ RR และ RD ตามลำดับ; การศึกษา 2 ฉบับ, ทารก 1249 คน, หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ) ไม่มีการศึกษาใดรายงานจำนวนความพยายามเจาะน้ำไขสันหลังทั้งหมด ท่านอนตะแคงข้างมีแนวโน้มที่จะเกิดจำนวนครั้งของการเกิดภาวะหัวใจเต้นช้า (RR 1.72, 95% CI 1.08 ถึง 2.76; RD 0.03, 95% CI 0.00 ถึง 0.05; จำนวนครั้งที่จำเป็นในการรักษาสำหรับผลลัพธ์ที่เป็นอันตรายเพิ่มเติม (NNTH) = 33; I 2 = ไม่เกี่ยวข้อง และ 69% สำหรับ RR และ RD ตามลำดับ; การศึกษา 3 ฉบับ ทารก 1279 คน หลักฐานความเชื่อมั่นปานกลาง) และภาวะออกซิเจนลดลง (RR 2.10, 95% CI 1.42 ถึง 3.08; RD 0.06, 95% CI 0.03 ถึง 0.09; NNTH = 17; I 2 = ไม่เกี่ยวข้อง (not applicable) และ 96% สำหรับ RR และ RD ตามลำดับ; การศึกษา 2 ฉบับ, ทารก 1249 คน, หลักฐานความเชื่อมั่นปานกลาง) หลักฐานมีความไม่แน่นอนอย่างมากเกี่ยวกับผลต่อเวลาที่ใช้ในการเจาะน้ำไขสันหลังในท่านอนตะแคงข้าง (MD 2.00, 95% CI −4.98 ถึง 8.98; I 2 = ไม่เกี่ยวข้อง; การศึกษา 1 ฉบับ, ทารก 20 คน, หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก) ท่านอนตะแคงข้างอาจส่งผลให้จำนวนครั้งการเกิดภาวะหยุดหายใจในระหว่างหัตถการลดลงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย (RR ไม่สามารถประมาณได้; RD 0.00, 95% CI −0.03 ถึง 0.03; I 2 = ใช้ไม่ได้และ 0% สำหรับ RR และ RD ตามลำดับ ; การศึกษา 2 ฉบับ ทารก 197 คน หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ) ไม่มีการศึกษาที่รายงานภาวะหยุดหายใจโดยใช้คำนิยามของภาวะหยุดหายใจเป็นของจำนวนครั้งกล่าวคือมีการหยุดหายใจอย่างน้อย 1 ครั้งระหว่างการทำหัตถการ
เมื่อเปรียบเทียบกับท่านอนคว่ำ : ท่านอนตะแคงข้างอาจลดความสำเร็จของการเจาะน้ำไขสันหลังในครั้งแรก (RR 0.75, 95% CI 0.63 ถึง 0.90; RD −0.21, 95% CI −0.34 ถึง −0.09; จำนวนที่จำเป็นในการรักษาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์เพิ่มเติม = 5; I 2 = ไม่เกี่ยวข้อง; การศึกษา 1 ฉบับ, ทารก 171 คน, หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ) ไม่มีการศึกษาใดรายงานจำนวนครั้งการพยายามเจาะน้ำไขสันหลังทั้งหมด หรือจำนวนครั้งการเกิดภาวะหยุดหายใจ มีการรายงานระดับความเจ็บปวดระหว่างและหลังการทำหัตถการโดยใช้ระดับคะแนนความเจ็บปวดที่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบ ไม่มีการศึกษาใดที่เปรียบเทียบท่านอนตะแคงข้าง กับท่านอนคว่ำที่รายงานผลลัพธ์ที่สำคัญอื่นๆ ของการทบทวนนี้
แปลโดย ผศ.พิเศษ พญ.นันท์ธิดา ภัทราประยูร วันที่ 4 พฤศจิกายน 2566