การส่องไฟเพื่อรักษาแผลที่เท้าในผู้ป่วยเบาหวาน

คำถามการทบทวนวรรณกรรม

การส่องไฟเป็นวิธีการรักษาที่ปราศจากความเจ็บปวดซึ่งใช้แสงเพื่อรักษาอาการป่วยต่างๆ เราได้ตรวจสอบหลักฐานเกี่ยวกับการส่องไฟสำหรับแผลที่เท้าในผู้ป่วยเบาหวาน เราต้องการทราบว่าการส่องไฟช่วยเร่งการสมานแผลและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยหรือไม่ และมีผลข้างเคียงหรือไม่

ความเป็นมา

แผลที่เท้าเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานที่ส่งผลต่อผู้ป่วยเบาหวาน 15% ถึง 25% ในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต แผลที่เท้าจากเบาหวานนั้นเจ็บปวดและมีแนวโน้มที่จะติดเชื้อได้ง่าย แผลที่เท้าของผู้ป่วยเบาหวานทั้งหมดไม่สามารถรักษาให้หายได้ ซึ่งในที่สุดอาจนำไปสู่การผ่าตัดเอาแขนขาออก การส่องไฟ รวมทั้งผิวหนังที่สัมผัสกับแสงอัลตราไวโอเลต บางครั้งใช้เลเซอร์ สิ่งนี้คิดว่าจะช่วยให้แผลหายได้ผ่านหลายกลไก เช่น การเติบโตของเซลล์ที่เพิ่มขึ้นและการทำงานของหลอดเลือด ถูกนำมาใช้เป็นทางเลือกในการรักษาแผลที่เท้าในผู้ป่วยเบาหวาน

ลักษณะการศึกษา

เราค้นหาการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มเปรียบเทียบเปรียบเทียบการบำบัดด้วยแสงแบบต่างๆ หรือการเปรียบเทียบการบำบัดด้วยการส่องไฟกับการรักษาอื่นๆ หรือยาหลอก (การรักษาหลอกๆ) สำหรับแผลที่เท้าในผู้ใหญ่ที่เป็นเบาหวานในเดือนตุลาคม 2016 เรารวบรวมการศึกษา 8 ฉบับ (ผู้เข้าร่วม 316 คน) การศึกษาส่วนใหญ่ดำเนินการในคลินิกหรือโรงพยาบาลและมีผู้เข้าร่วมจำนวนน้อย (14 ถึง 84 คน) อายุเฉลี่ยในการศึกษาที่รวบรวมมาจาก 53 ถึง 68 ปี และอัตราส่วนของเพศหญิงต่อเพศชายคือ 0.46 ถึง 1.88 การศึกษาที่รวบรวมมาเปรียบเทียบการบำบัดด้วยการส่องไฟกับยาหลอกหรือไม่ใช้การส่องไฟ นอกเหนือจากการดูแลตามปกติ (การดูแลตามปกติอาจรวมถึงการรักษา เช่น การทำแผล ยาปฏิชีวนะ หรือการทำความสะอาดแผล) เวลาในการรักษามีตั้งแต่ 15 วันถึง 20 สัปดาห์

ผลลัพธ์ที่สำคัญ

ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าการส่องไฟเมื่อเทียบกับการไม่ส่องไฟหรือยาหลอก อาจเพิ่มสัดส่วนของบาดแผลที่หายสนิทในระหว่างการติดตามผล และลดขนาดแผล อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการศึกษาที่รวบรวมมีผู้เข้าร่วมจำนวนน้อยและมีข้อบกพร่องในวิธีการศึกษา ความเชื่อมั่นของเราในผลลัพธ์เหล่านี้จึงมีจำกัด เราไม่พบหลักฐานที่เพียงพอว่าอันตรายที่อาจเกิดขึ้นหรืออุบัติการณ์ของการตัดแขนขาแตกต่างกันระหว่างกลุ่มที่ได้รับการบำบัดด้วยแสงและกลุ่มที่ไม่มีการบำบัดด้วยแสง/ยาหลอก

คุณภาพของหลักฐาน

เราตัดสินว่าคุณภาพของหลักฐานอยู่ในระดับต่ำเนื่องจากขาดข้อมูลและความเสี่ยงที่ผลการศึกษาจะมีอคติ จำเป็นต้องมีการศึกษาที่มีคุณภาพสูงเพิ่มเติมเพื่อยืนยันประโยชน์และโทษของการบำบัดด้วยแสง

บทสรุปเป็นภาษาง่ายๆนี้เป็นปัจจุบัน ณ เดือนพฤษภาคม 2016

ข้อสรุปของผู้วิจัย: 

การทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบของการทดลองแบบสุ่มนี้ชี้ให้เห็นว่าการส่องไฟ เมื่อเทียบกับการไม่ส่องไฟ/ยาหลอก อาจเพิ่มสัดส่วนของบาดแผลที่หายสนิทในระหว่างการติดตามผล และอาจลดขนาดแผลในผู้ป่วยเบาหวาน แต่ไม่มีหลักฐานว่าการส่องไฟช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิต เนื่องจากขนาดตัวอย่างที่เล็กและข้อบกพร่องของระเบียบวิธีในการทดลองดั้งเดิม คุณภาพของหลักฐานจึงต่ำ ซึ่งลดความมั่นใจของเราในผลลัพธ์เหล่านี้ จำเป็นต้องมีการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุมขนาดใหญ่และออกแบบมาอย่างดีเพื่อยืนยันว่าการส่องไฟอาจเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสำหรับการรักษาแผลที่เท้าในผู้ป่วยเบาหวานหรือไม่

อ่านบทคัดย่อฉบับเต็ม
บทนำ: 

แผลที่เท้าเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานที่ส่งผลต่อผู้ป่วยเบาหวาน 15% ถึง 25% ในช่วงเวลาหนึ่งของชีวิต การส่องไฟเป็นวิธีการรักษาที่ค่อนข้างใหม่ ไม่รุกราน และไม่เจ็บปวด ซึ่งส่งเสริมกระบวนการซ่อมแซมแผลผ่านกลไกหลายอย่าง เช่น การเจริญเติบโตของเซลล์ที่เพิ่มขึ้นและการทำงานของหลอดเลือด การส่องไฟอาจใช้เป็นทางเลือกในการรักษาแผลที่เท้าในผู้ป่วยเบาหวาน แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันถึงผลกระทบเมื่อเปรียบเทียบกับยาหลอกหรือการรักษาอื่นๆ

วัตถุประสงค์: 

เพื่อประเมินผลของการส่องไฟในการรักษาแผลที่เท้าในผู้ป่วยเบาหวาน

วิธีการสืบค้น: 

เราค้นหา Cochrane Wounds Specialized Register (11 ตุลาคม 2016), the Cochrane Central Register of Controlled Trials (CENTRAL) (the Cochrane Library, 2016, Issue 10), Ovid MEDLINE (11 ตุลาคม 2016), Ovid MEDLINE (In-Process & Other การอ้างอิงที่ไม่ได้จัดทำดัชนี) (11 ตุลาคม 2016), Ovid Embase (11 ตุลาคม 2016), EBSCO CINAHL Plus (11 ตุลาคม 2016) และ China National Knowledge Infrastructure (24 มิถุนายน 2017) นอกจากนี้ เรายังค้นหาการลงทะเบียนการทดลองทางคลินิกสำหรับการศึกษาที่กำลังดำเนินอยู่และไม่ได้เผยแพร่ในวันที่ 24 มิถุนายน 2017 และคัดกรองรายการอ้างอิงเพื่อระบุการศึกษาเพิ่มเติม ไม่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับภาษา วันที่เผยแพร่ หรือพื้นที่ที่ทำการศึกษา

เกณฑ์การคัดเลือก: 

การทดลองแบบ randomised controlled trials หรือ cluster randomised controlled trials ที่ 1) เปรียบเทียบการส่องไฟกับการส่องไฟแบบหลอก ไม่ส่องไฟ หรือวิธีการทางกายภาพบำบัดอื่นๆ 2) เปรียบเทียบการส่องไฟในรูปแบบต่างๆ หรือ 3) เปรียบเทียบการส่องไฟที่มีกำลังต่างกัน ความยาวคลื่น ความหนาแน่นของพลังงานที่แตกต่างกัน หรือ ช่วงขนาดยา ในผู้ใหญ่ที่เป็นเบาหวานและมีแผลเปิดที่เท้าไม่ว่าจะมีความรุนแรงเท่าใดก็ตาม ในทุกสถานการณ์

การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล: 

ผู้ทบทวนวรรณกรรม 2 คนเลือกการศึกษา ดึงข้อมูล และประเมินความเสี่ยงของอคติอย่างเป็นอิสระต่อกัน เรารวมผลการศึกษาตามความเหมาะสม

ผลการวิจัย: 

การทดลอง 8 ฉบับ ที่มีผู้เข้าร่วม 316 คน ผ่านเกณฑ์การการคัดเลือกการศึกษา การศึกษาที่รวบรวมส่วนใหญ่เป็นการศึกษาในพื้นที่เดียวซึ่งดำเนินการในคลินิกหรือโรงพยาบาล โดยมีขนาดตัวอย่างตั้งแต่ 14 ถึง 84 คน โดยทั่วไป เราถือว่าการศึกษาที่รวบรวมไว้มีความไม่ชัดเจนหรือมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอคติ เนื่องจากมีโดเมนเดียวที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอคติ หรือ 3 โดเมนหรือมากกว่านั้นมีความเสี่ยงที่จะเกิดอคติที่ไม่ชัดเจน

เราไม่ได้ระบุการศึกษาใด ๆ ที่รายงานข้อมูลที่ถูกต้องสำหรับเวลาในการรักษาบาดแผลหายสนิทอย่างสมบูรณ์ การวิเคราะห์เมตาของการศึกษา 4 ฉบับ ที่มีผู้เข้าร่วม 116 คน ระบุว่าผู้เข้าร่วมที่ได้รับการส่องไฟอาจพบสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นของบาดแผลที่หายสนิทในระหว่างการติดตาม เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับการส่องไฟ/ยาหลอก (64.5% ในกลุ่มการส่องไฟ เทียบกับ 37.0% สำหรับการไม่ส่องไฟ/ กลุ่มยาหลอก อัตราส่วนความเสี่ยง 1.57 ช่วงความเชื่อมั่น 95% 1.08 ถึง 2.28; หลักฐานคุณภาพต่ำ ปรับลดเนื่องจากข้อจำกัดในการศึกษาและความไม่แม่นยำ) การศึกษา 2 ฉบับ กล่าวถึงเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ในผลลัพธ์ การศึกษาหนึ่งที่มีผู้เข้าร่วม 16 คนเสนอว่าไม่พบเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ และการศึกษาอื่นที่มีผู้เข้าร่วม 14 คนเสนอว่าไม่มีความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างกลุ่มการส่องไฟและกลุ่มที่ได้รับยาหลอก

การศึกษา 4 ฉบับรายงานการเปลี่ยนแปลงของขนาดแผล แต่โดยหลักแล้วไม่ได้นำมารวมเนื่องจากความแตกต่างในระดับสูง ผลลัพธ์จากการทดลองแต่ละรายการ (รวมผู้เข้าร่วม 16 คนเป็นผู้เข้าร่วม 84 คน) โดยทั่วไปแนะนำว่าหลังจากการรักษา 2 ถึง 4 สัปดาห์ การส่องไฟอาจส่งผลให้ขนาดแผลลดลงมากขึ้น แต่คุณภาพของหลักฐานยังต่ำเนื่องจากความเสี่ยงของอคติที่ไม่ชัดเจนในการทดลองเริ่มต้น และขนาดตัวอย่างน้อย เราใช้การวิเคราะห์คุณภาพชีวิตกรณีการตัดแขนขาจากการศึกษาเพียง 1 ฉบับ (ผู้เข้าร่วม 28 คนและผู้เข้าร่วม 23 คนตามลำดับ) ผลลัพธ์ทั้งสองไม่พบความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างกลุ่มส่องไฟและกลุ่มไม่ส่องไฟ/ยาหลอก

บันทึกการแปล: 

ผู้แปล แพทย์หญิงชุติมา ชุณหะวิจิตร

Tools
Information