ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ยาที่ลดอาการปวดและความรู้สึกไม่สุขสบายระหว่างการเจาะน้ำไขสันหลังในทารกแรกเกิด

ใจความสำคัญ

• การเจาะน้ำไขสันหลังเป็นหัตถการที่เจ็บปวด แต่วิธีการจัดการที่ดีที่สุดกับความเจ็บปวดและความรู้สึกไม่สุขสบายในทารกแรกเกิดยังไม่มีความชัดเจน
• เราได้มีการชี้ให้เห็นถึงการศึกษาวิจัยที่ใช้ครีมที่มีส่วนประกอบของยาแก้ปวด โดยทาบนผิวหนังที่จะทำการเจาะน้ำไขสันหลัง
• ครีมเหล่านี้อาจลดความเจ็บปวดในระหว่างการเจาะน้ำไขสันหลัง แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะมีผลในแง่ความสำเร็จในการเจาะน้ำไขสันหลังให้สำเร็จในครั้งแรกหรือไม่ จำนวนครั้งในเจาะน้ำไขสันหลังให้สำเร็จ จำนวนครั้งของการเกิดหัวใจเต้นช้า (bradycardia)(การเต้นของหัวใจช้าลง) จำนวนครั้งของค่าความอิ่มตัวออกซิเจนลดลง (desaturation) (ปริมาณออกซิเจนในเลือดลดลง) และจำนวนทารกแรกเกิดที่เกิดภาวะหยุดหายใจ (apnea) (หยุดหายใจ)

การเจาะน้ำไขสันหลังคืออะไร

การเจาะน้ำไขสันหลัง (Spinal tap) หรือการเจาะน้ำไขสันหลัง (Lumbar puncture) เป็นหัตถการที่พบได้บ่อยในทุกอายุ รวมถึงทารกแรกเกิด โดยการแทงเข็มผ่านเข้าไปในช่องว่างของกระดูกสันหลัง เพื่อนำน้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลัง (cerebrospinal fluid: CSF) ออกมา เหตุผลในการเจาะน้ำไขสันหลังมีหลายประการ แต่เหตุผลที่พบบ่อยที่สุดคือเพื่อสืบค้นว่ามีการติดเชื้อของสมองและไขสันหลังหรือไม่ เนื่องจากการเจาะน้ำไขสันหลังจะต้องมีการแทงเข็ม จึงอาจทำให้เกิดอาการเจ็บปวดและไม่สุขสบายได้

เนื่องจากความเจ็บปวดและไม่สุขสบายนั้น ในบางครั้งจึงอาจส่งผลให้ทารกแรกเกิดแสดงอาการหัวใจเต้นช้าลง (หรือที่เรียกว่า bradycardia) และการหยุดหายใจ (หรือที่เรียกว่า apnea) ซึ่งจะส่งผลให้ปริมาณออกซิเจนในเลือดลดลง (หรือเรียกว่า desaturation) นอกจากนี้ หากทารกรู้สึกไม่สุขสบายอาจส่งผลให้ผู้ทำการเจาะน้ำไขสันหลังจำเป็นต้องทำหัตถการนี้หลายครั้ง

เราต้องการค้นหาอะไร

เราต้องการทราบว่าการใช้ยาบางชนิดดีกว่าการใช้ยาอื่นๆ หรือการไม่ใช้ยาใด ๆเลยเพื่อลด:
• จำนวนครั้งในการพยายามเจาะน้ำไขสันหลังให้สำเร็จในทารกแรกเกิด
• จำนวนครั้งในการพยายามทำหัตถการทั้งหมด;
• ความเจ็บปวดและไม่สุขสบายในระหว่างการเจาะน้ำไขสันหลังในทารกแรกเกิด;
• จำนวนครั้งของการเกิดหัวใจเต้นช้า;
• จำนวนครั้งของการเกิดค่าความอิ่มตัวออกซิเจนลดลง; และ
• จำนวนครั้งของภาวะหยุดหายใจ

วิธีการทำคืออะไร

เราสืบค้นการศึกษาที่ศึกษาการใช้ยาบางชนิดเปรียบเทียบกับการใช้ยาอื่นๆ หรือการไม่ได้ใช้ยในทารกแรกเกิดที่เข้ารับการเจาะน้ำไขสันหลัง เราเปรียบเทียบและสรุปผลการศึกษาและให้คะแนนความเชื่อมั่นของหลักฐาน โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น วิธีการศึกษาและขนาดการศึกษา

สิ่งที่เราพบคืออะไร

เราพบว่ามี 3 การศึกษา โดยทารกแรกเกิดจำนวน 206 คนที่ได้รับการเจาะน้ำไขสันหลัง ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าการใช้ยาแก้ปวดที่ทาบนผิวหนัง (ยาชาเฉพาะที่) เมื่อเทียบกับการไม่ใช้ยาใดๆ จะมีผลต่อจำนวนการเจาะน้ำไขสันหลังให้สำเร็จในครั้งแรก จำนวนครั้งในการพยายามเจาะน้ำไขสันหลังให้สำเร็จ จำนวนครั้งของการเกิดหัวใจเต้นช้า จำนวนครั้งของค่าความอิ่มตัวออกซิเจนลดลง และจำนวนครั้งของภาวะหยุดหายใจ

ยาชาเฉพาะที่เมื่อเปรียบเทียบกับยาหลอก (dummy medicine) อาจลดความเจ็บปวดในทารกแรกเกิด 15% ถึง 20%

ยังคงมีงานวิจัยขนาดใหญ่ที่กำลังดำเนินอยู่ 3 งานวิจัยเพื่อประเมินผลของยาอื่นๆ แต่การศึกษายังไม่มีการตีพิมพ์เผยแพร่ นอกจากนี้เรายังแสดงการศึกษาทั้ง 3 การศึกษาที่ยังอยู่ระหว่างการจำแนกประเภทเนื่องจากยังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะนำมารวมเข้าหรือคัดออก

ข้อจำกัดของหลักฐานคืออะไร

เรามีความเชื่อมั่นเพียงเล็กน้อยในหลักฐานเรื่องความเจ็บปวด เนื่องจากการศึกษาเหล่านี้ใช้มาตรฐานในการวัดความเจ็บปวดที่แตกต่างกัน

เราไม่มีความเชื่อมั่นในหลักฐานสำหรับผลลัพธ์อื่นๆ เนื่องจากมีการศึกษาจำนวนน้อยเกินไปที่จะทำให้เชื่อมั่นในผลลัพธ์เหล่านี้ มีความเป็นไปได้ว่าผู้เข้าร่วมในการศึกษาทราบว่าพวกเขาได้รับการรักษาด้วยวิธีการใด สุดท้ายนี่ ไม่ใช่ทุกการศึกษาที่ให้ข้อมูลในสิ่งที่เราสนใจ

การทบทวนนี้มีความทันสมัยแค่ไหน

ผู้ประพันธ์มีการทบทวนสืบค้นการศึกษาจนถึงเดือนธันวาคม 2022

บทนำ

การเจาะน้ำไขสันหลัง (Lumbar puncture) เป็นหัตถการรุกรานที่พบบ่อยซึ่งส่วนใหญ่ทำเพื่อวินิจฉัยภาวะติดเชื้อ แพทย์ผู้ทำการเจาะน้ำไขสันหลังทำร่วมกับผู้ช่วยโดยเทคนิคปลอดเชื้ออย่างเข้มงวด การเฝ้าระวังติดตามทารกตลอดทุกขั้นตอนของกระบวนการทำหัตถการเป็นสิ่งสำคัญ หากไม่มียาแก้ปวดที่เพียงพอ การเจาะน้ำไขสันหลังอาจทำให้เกิดความเจ็บปวดและความรู้สึกไม่สุขสบาย เนื่องจากทารกแรกเกิดมีความไวต่อความเจ็บปวด การจัดการความเจ็บปวดในขณะทำหัตถการการเจาะน้ำไขสันหลังในประชากรกลุ่มนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ

วัตถุประสงค์

เพื่อประเมินประโยชน์และผลเสีย ซึ่งรวมถึงความเจ็บปวด ความรู้สึกไม่สุขสบาย และอัตราความสำเร็จของการใช้ยาในระหว่างการเจาะน้ำไขสันหลังในทารกแรกเกิดเมื่อเทียบกับการใช้ยาหลอก หรือการไม่ให้วิธีการใดๆเลย หรือการให้วิธีการอื่นที่ไม่ใช่ยา หรือการให้ยาด้วยวิธีอื่นๆ

วิธีการสืบค้น

เราค้นหาจาก CENTRAL, PubMed, Embase และจากการลงทะเบียนงานวิจัย 3 ฐาน ในเดือนธันวาคม 2022 นอกจากนี้เรายังคัดกรองจากรายการอ้างอิงของการศึกษาที่รวบรวมไว้และจากการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบที่เกี่ยวข้องสำหรับการศึกษาที่สามรถไม่ได้พบได้จากการค้นหาฐานข้อมูล

เกณฑ์การคัดเลือก

เรารวบรวมการศึกษาชนิดการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม (RCTs) และการทดลองแบบกึ่งการศึกษาแบบสุ่มที่มีกลุ่มเปรียบเทียบ (quasi-RCTs) เปรียบเทียบกับยาที่ใช้สำหรับการจัดการความเจ็บปวด การระงับประสาท หรือทั้งสองอย่าง ระหว่างการทำการเจาะน้ำไขสันหลัง เราพิจารณาว่ายาเหล่านี้เหมาะสมในการจัดเข้ารวมไว้ในกลุ่มคัดเลือกเข้าในการศึกษา

• ยาชาเฉพาะที่ (เช่น ยาชาเฉพาะที่ที่ผสมยูเทคติก [EMLA], ลิโดเคน)
• ฝิ่น (เช่น มอร์ฟีน เฟนทานิล)
• Alpha-2 agonist (เช่น clonidine, dexmedetomidine)
• N-Methyl-D-aspartate (NMDA) receptor antagonists (เช่น คีตามีน)
• ยาแก้ปวดอื่นๆ (เช่น พาราเซตามอล)
• ยาระงับประสาท (เช่น เบนโซไดอะซีพีน เช่น มิดาโซแลม)

การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล

เราใช้วิธีมาตรฐานของ Cochrane เราใช้ fixed-effect model เพื่อประเมินผล risk ratio (RR) สำหรับข้อมูลชนิดไดโคโตมัสและผลต่างค่าเฉลี่ย (MD) หรือผลต่างค่าเฉลี่ยมาตรฐาน (SMD) สำหรับข้อมูลชนิดต่อเนื่อง โดยมีช่วงความเชื่อมั่น (CIs) 95% ผลการศึกษาหลักคือความสำเร็จการทำการเจาะน้ำไขสันหลังในครั้งแรก จำนวนครั้งของการพยายามทำการเจาะน้ำไขสันหลัง จำนวนครั้งการเกิดหัวใจเต้นช้า ระดับคะแนนความเจ็บปวด จำนวนครั้งการเกิดภาวะออกซิเจนลดลง (desaturation) จำนวนครั้งของภาวะหยุดหายใจ (apnea) และจำนวนครั้งการเกิดภาวะหยุดหายใจอย่างน้อย 1 ครั้ง เราใช้วิธี GRADE เพื่อประเมินความเชื่อมั่นของหลักฐาน

ผลการวิจัย

เรารวบรวมการศึกษาไว้ทั้งหมด 3 การศึกษา (โดยเป็นการศึกษาแบบ RCTs 1 การศึกษา และ quasi-RCT 1 การศึกษา) โดยมีจำนวนทารกแรกเกิดทั้งหมด 206 คน มี 1 การศึกษาที่รวมเฉพาะทารกครบกำหนดคลอดเท่านั้น โดยการศึกษาทั้งหมดเป็นศึกษาซึ่งประเมินโดยให้การรักษาเฉพาะที่เทียบกับยาหลอกหรือการไม่ให้วิธีการใดๆเลย ยาชาเฉพาะที่ ได้แก่ ลิโดเคน 4%, ลิโดเคน 1% และ EMLA เราพบว่าไม่มีการศึกษาที่เสร็จสมบูรณ์เกี่ยวกับฝิ่น ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ยา alpha-2 agonists ยาต้านตัวรับ NMDA receptor (NMDA receptor antagonists) ยาแก้ปวดอื่นๆ ยาระงับประสาท หรือการเปรียบเทียบวิธีการรักษาโดยตรง (ยา A กับยา B)

จากหลักฐานที่มีซึ่งมีความเชื่อมั่นต่ำมากของการศึกษาแบบ quasi‐RCTs จำนวน 1 การศึกษาในทารกจำนวน 76 ราย ทำให้ไม่สามารถแน่ใจได้ว่ายาชาเฉพาะที่ (ลิโดเคน) จะมีผลต่อผลลัพพ์ต่อไปนี้หรือไม่ เมื่อเทียบกับการไม่ให้ยาชา

• ความสำเร็จการเจาะน้ำไขสันหลังในครั้งแรก (48% ของทารกในกลุ่มที่ได้รับลิโดเคนพบว่าสามารถเจาะน้ำไขสันหลังสำเร็จในครั้งแรก และ 42% ในกลุ่มควบคุม)
• จำนวนครั้งของการเจาะน้ำไขสันหลัง (ค่าเฉลี่ย 1.9 ครั้ง [ความคลาดเคลื่อนมาตรฐาน 0.2] ในกลุ่มได้รับลิโดเคน และค่าเฉลี่ย 2.1 ครั้ง [ความคลาดเคลื่อนมาตรฐาน 2.1] ในกลุ่มควบคุม)
• จำนวนครั้งของการเกิดหัวใจเต้นช้า (0% ของการเจาะน้ำไขสันหลังในกลุ่มที่ได้รับลิโดเคนและ 4% ของการเจาะน้ำไขสันหลังในกลุ่มควบคุม)
• จำนวนครั้งการเกิดภาวะออกซิเจนลดลง (0% ของการเจาะน้ำไขสันหลังในกลุ่มได้รับลิโดเคนและ 8% ของการเจาะน้ำไขสันหลังในกลุ่มควบคุม)
• จำนวนครั้งของการเกิดภาวะหยุดหายใจ (RR 3.24, 95% CI 0.14 ถึง 77.79; Risk difference [RD] 0.02, 95% CI −0.03 ถึง 0.08)

ยาชาเฉพาะที่เมื่อเปรียบเทียบกับยาหลอกอาจลดความเจ็บปวดซึ่งประเมินด้วย Neonatal Facial Coding System (NFCS) score (SMD −1.00 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD), 95% CI −1.47 ถึง −0.53; I² = 98%; การศึกษาแบบ RCTs 2 การศึกษา, จำนวนทารก 112 คน; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ) ไม่มีการศึกษาใดรายงานการเปรียบเทียบจำนวนครั้งของภาวะหยุดหายใจ

เราระบุการศึกษาที่กำลังดำเนินอยู่ 3 การศึกษา ซึ่งประเมินผลของการได้รับ EMLA, ลิโดเคน และเฟนทานิล มี 3 การศึกษาอยู่ระหว่างการจำแนกประเภท

ข้อสรุปของผู้วิจัย

หลักฐานมีความไม่แน่นอนอย่างมากเกี่ยวกับผลของยาชาเฉพาะที่ (ลิโดเคน) เมื่อเทียบกับการไม่ดมยาสลบ ในเรื่องของความสำเร็จของการเจาะน้ำไขสันหลังในครั้งแรก จำนวนครั้งของการเจาะน้ำไขสันหลัง จำนวนครั้งของการเกิดหัวใจเต้นช้า จำนวนครั้งการเกิดค่าความอิ่มตัวออกซิเจนลดลง และจำนวนครั้งของภาวะหยุดหายใจ เมื่อเปรียบเทียบกับยาหลอก พบว่ายาชาเฉพาะที่ (ลิโดเคน หรือ EMLA) อาจลดความเจ็บปวดซึ่งประเมินด้วย NFCS score มี 1 การศึกษา ที่กำลังดำเนินอยู่ซึ่งประเมินผลการรักษาโดยใช้ยาที่มีผลต่อระบบทั่วไปของร่างกาย

บันทึกการแปล

แปลโดย แพทย์หญิงนันท์ธิดา ภัทราประยูร วันที่ 5 ตุลาคม 2023

การอ้างอิง
Pessano S, Romantsik O, Olsson E, Hedayati E, Bruschettini M. Pharmacological interventions for the management of pain and discomfort during lumbar puncture in newborn infants. Cochrane Database of Systematic Reviews 2023, Issue 9. Art. No.: CD015594. DOI: 10.1002/14651858.CD015594.pub2.

การใช้คุกกี้ของเรา

เราใช้คุกกี้ที่จำเป็นเพื่อให้เว็บไซต์ของเรามีประสิทธิภาพ เรายังต้องการตั้งค่าการวิเคราะห์คุกกี้เพิ่มเติมเพื่อช่วยเราปรับปรุงเว็บไซต์ เราจะไม่ตั้งค่าคุกกี้เสริมเว้นแต่คุณจะเปิดใช้งาน การใช้เครื่องมือนี้จะตั้งค่าคุกกี้บนอุปกรณ์ของคุณเพื่อจดจำการตั้งค่าของคุณ คุณสามารถเปลี่ยนการตั้งค่าคุกกี้ได้ตลอดเวลาโดยคลิกที่ลิงก์ 'การตั้งค่าคุกกี้' ที่ส่วนท้ายของทุกหน้า
สำหรับข้อมูลโดยละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุกกี้ที่เราใช้ โปรดดู หน้าคุกกี้

ยอมรับทั้งหมด
กำหนดค่า