ใจความสำคัญ
- มาตรการที่ส่งเสริมให้วัยรุ่นปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคหรือกิจกรรมทางกาย (หรือทั้งสองอย่าง) เพื่อป้องกันภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนนั้น ไม่ก่อให้เกิดความแตกต่างหรือก่อให้เกิดความแตกต่างเพียงเล็กน้อยมากต่อค่าดัชนีมวลกาย (BMI; ค่าที่ใช้ประเมินปริมาณไขมันในร่างกายจากความสัมพันธ์ระหว่างส่วนสูงและน้ำหนัก)
- เมื่อพิจารณาจากข้อมูลที่มีอยู่อย่างจำกัดมากเกี่ยวกับเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ร้ายแรง พบว่าแนวทางด้านโภชนาการหรือกิจกรรมทางกาย หรือทั้งสองอย่างร่วมกัน ดูเหมือนจะส่งผลน้อยมากหรือไม่มีผลเลยในการก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรง (เช่น การบาดเจ็บ)
- เนื่องจากยังมีหลักฐานไม่เพียงพอ งานวิจัยในอนาคตจึงควรมุ่งเน้นไปที่การศึกษาในระดับชุมชน (เช่น ในสโมสรเยาวชน) และการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มวัยรุ่นที่มีความพิการ
เหตุใดการป้องกันโรคอ้วนในเด็กและเยาวชนจึงมีความสำคัญ
วัยรุ่นจำนวนมากขึ้นกำลังมีน้ำหนักเกินและเป็นโรคอ้วนทั่วโลก การมีน้ำหนักเกินในช่วงวัยรุ่นอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพได้ และผู้คนอาจได้รับผลกระทบทั้งด้านจิตใจและชีวิตทางสังคม วัยแรกรุ่นและการเข้าสู่วัยผู้ใหญ่เป็นช่วงเวลาที่ท้าทาย และหลายคนต้องดิ้นรนกับสุขภาพจิตของตนเอง วัยรุ่นที่มีน้ำหนักเกินมีแนวโน้มที่จะมีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนเมื่อเป็นผู้ใหญ่ และยังคงมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ย่ำแย่ต่อไป
เราต้องการค้นหาอะไร
เรามีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาว่ามาตรการที่ส่งเสริมให้วัยรุ่นปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคหรือกิจกรรมทางกาย (หรือทั้งสองอย่าง) มีประสิทธิผลในการป้องกันภาวะอ้วนหรือไม่ นอกจากนี้ เรายังต้องการทราบด้วยว่ามาตรการเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับผลเสียที่ร้ายแรงใดๆ หรือไม่
เราทำอะไรบ้าง
เราค้นหาฐานข้อมูลทางวิทยาศาสตร์สำหรับการศึกษาวิจัยที่ดูแนวทางในการป้องกันโรคอ้วนในเด็กอายุ 12 ถึง 18 ปี เราไม่รวมการศึกษาที่มุ่งเป้าไปที่วัยรุ่นที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม เรารวมการศึกษาที่กลุ่มตัวอย่างเป็นกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด (เช่น โรงเรียน) ซึ่งอาจรวมถึงผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนด้วย เราคัดเลือกเฉพาะงานวิจัยที่วิธีการที่ใช้มีเป้าหมายเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคของเด็ก, ระดับกิจกรรมทางกาย (เช่น เพิ่มการออกกำลังกายหรือลดเวลาที่ไม่ได้ออกกำลังกาย) หรือทั้งสองอย่าง เรามองหาเฉพาะการศึกษาที่สุ่มจัดผู้คนออกเป็นกลุ่มที่ได้รับกลยุทธ์ที่แตกต่างกัน (ซึ่งอาจรวมถึงการไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลย) เราประเมินความเข้มงวดของการศึกษาเพื่อให้มั่นใจว่าเรามั่นใจในผลลัพธ์เพียงใด เราจัดกลุ่มการศึกษาไว้ด้วยกันเพื่อการวิเคราะห์ ขึ้นอยู่กับว่าการศึกษาเหล่านั้นมีจุดมุ่งหมายเพื่อปรับปรุงอาหาร กิจกรรม หรือทั้งสองอย่าง
เราพบอะไร
เราพบการศึกษาทั้งหมด 74 ฉบับ ที่เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชนจำนวน 83,407 คน การศึกษา 60 ฉบับ อยู่ในประเทศที่มีรายได้สูง (เช่น สหรัฐอเมริกาและยุโรป) การศึกษา 57 ฉบับได้ทดลองใช้วิธีการเหล่านี้ในโรงเรียน แต่ก็มี 12 ฉบับที่จัดขึ้นที่บ้านหรือสถานที่อื่นๆ เช่น ในชุมชน (5 ฉบับ) ตัวอย่างเช่น กลุ่มเยาวชน มาตรการ 51 รูปแบบดำเนินการเป็นระยะเวลาน้อยกว่า 9 เดือน โดยการแทรกแซงที่ใช้เวลาสั้นที่สุดคือการเข้าร่วม 1 ครั้ง และยาวนานที่สุดคือมากกว่า 28 เดือน การศึกษา 62 ฉบับ แจ้งว่าได้รับทุนจากแหล่งอื่นที่ไม่ใช่ภาคอุตสาหกรรม ในขณะที่ 5 ฉบับได้รับทุนบางส่วนจากภาคธุรกิจ (เช่น ซัพพลายเออร์อาหาร, ผู้ผลิตเพลย์สเตชัน, ผู้จำหน่ายอุปกรณ์ฟิตเนส, ผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์ และสถานพยาบาลเอกชน)
การวิเคราะห์ของเราได้รวบรวมผลจากการศึกษา 54 ฉบับ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมเป็นวัยรุ่นจำนวน 46,358 คน (ทั้งนี้ มีการศึกษา 20 ฉบับที่ไม่ได้รายงานผลในรูปแบบที่สามารถนำมารวมในการวิเคราะห์ของเราได้) เราพบว่าวัยรุ่นกลุ่มที่ได้รับคำแนะนำหรือกลยุทธ์เพื่อปรับเปลี่ยนการกินหรือการออกกำลังกาย (หรือทั้งสองอย่าง) แทบจะไม่สามารถลดค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ได้เลย หรือหากลดลงได้ก็ถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับกลุ่มวัยรุ่นที่ไม่ได้รับคำแนะนำใดๆ
มีการศึกษาเพียงไม่กี่ฉบับที่รายงานเกี่ยวกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากวิธีการที่นำมาใช้ และไม่มีรายงานใดที่ระบุถึงอันตรายที่ร้ายแรง
ข้อจำกัดของหลักฐานคืออะไร
โดยภาพรวมแล้ว เรายังไม่สามารถเชื่อมั่นได้อย่างเต็มที่ว่าวิธีการเหล่านี้จะให้ผลดีในการป้องกันโรคอ้วนสำหรับเด็กและวัยรุ่นได้ เป็นการยากที่จะเชื่อมั่นได้ว่า การให้ทุนสนับสนุนการวิจัยเพิ่มเติม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวิจัยในโรงเรียน จะสามารถเพิ่มระดับความเชื่อมั่นต่อผลลัพธ์ให้สูงขึ้นกว่าเดิมได้อย่างมีนัยสำคัญ ปัจจัยหลัก 4 ประการลดความเชื่อมั่นในหลักฐาน
1. ผลลัพธ์ไม่สอดคล้องกันอย่างมากในการศึกษาต่าง ๆ
2. การศึกษาหลายฉบับมีข้อจำกัดในระเบียบวิธีวิจัย ตัวอย่างเช่น ในการศึกษาบางฉบับ วิธีการที่ใช้ในการสุ่มจัดสรรผู้เข้าร่วมวิจัยเข้ากลุ่มต่างๆ นั้นยังไม่เหมาะสม หรือผลการศึกษาบางฉบับไม่ได้รับการวิเคราะห์อย่างถูกต้อง
3. มีการศึกษาไม่เพียงพอที่รายงานตัวชี้วัดบางประเภท เช่น ค่าดัชนีมวลกาย (BMI - ค่าประมาณปริมาณไขมันในร่างกายจากความสัมพันธ์ระหว่างส่วนสูงและน้ำหนัก) หรือค่า zBMI (การเปรียบเทียบค่าดัชนีมวลกายของเด็กกับเด็กคนอื่นในเพศและวัยเดียวกัน) สำหรับระยะเวลาการติดตามผลที่เจาะจง ซึ่งทำให้ไม่สามารถเชื่อมั่นในผลลัพธ์ของการเปรียบเทียบบางรายการได้ นอกจากนี้ บริบทการศึกษาบางประเภท (เช่น บริบทในระดับชุมชน) ยังมีสัดส่วนน้อยเกินไป
4. ผลการศึกษาจากการศึกษาบางส่วนไม่ได้รับการรายงานในรูปแบบที่เราจะสามารถนำมารวมไว้ในการวิเคราะห์ได้ (เช่น ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับความแตกต่างของการเปลี่ยนแปลงระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม) ซึ่งประเด็นนี้อาจส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์ของการวิเคราะห์ของเรา
การทบทวนนี้ไม่ได้ให้ข้อมูลเพียงพอที่จะประเมินว่ากลยุทธ์ต่างๆ ได้ผลดีเพียงใดสำหรับเด็กที่มีความพิการ หรือว่ากลยุทธ์ที่นำมาใช้ในชุมชนมีประสิทธิผลหรือไม่
หลักฐานนี้เป็นปัจจุบันแค่ไหน
การทบทวนวรรณกรรมนี้เป็นการปรับปรุงการทบทวนวรรณกรรมก่อนหน้าของเรา (ในปี 2023) หลักฐานเป็นปัจจุบันจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2023
อ่านบทคัดย่อฉบับเต็ม
การป้องกันโรคอ้วนในวัยรุ่นถือเป็นเรื่องสำคัญด้านสาธารณสุขระดับสากล ความชุกของภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนมีมากกว่า 25% ในอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ ออสเตรเลีย ยุโรปส่วนใหญ่ และภูมิภาคแถบอ่าวต่างๆ มาตรการที่มุ่งป้องกันภาวะอ้วนประกอบด้วยกลยุทธ์ที่ส่งเสริมโภชนาการที่ดีต่อสุขภาพ หรือระดับของ ‘กิจกรรม’ (ซึ่งได้แก่ กิจกรรมทางกาย พฤติกรรมเนือยนิ่ง และ/หรือการนอนหลับ) หรือทั้งสองอย่างร่วมกัน โดยมีกลไกการทำงานคือการลดพลังงานที่ได้รับจากการบริโภค และ/หรือเพิ่มการใช้พลังงานของร่างกาย ตามลำดับ มีความไม่แน่นอนว่าแนวทางใดมีประสิทธิผลมากกว่า และการศึกษาใหม่จำนวนมากได้รับการตีพิมพ์ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่การทบทวน Cochrane ฉบับก่อนหน้านี้
วัตถุประสงค์
เพื่อประเมินผลกระทบของมาตรการที่มุ่งป้องกันโรคอ้วนในเด็กโดยการปรับเปลี่ยนการบริโภคอาหารหรือระดับ 'กิจกรรม' หรือทั้งสองอย่างรวมกัน ต่อการเปลี่ยนแปลงค่าดัชนีมวลกาย ( BMI), zBMI และเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ร้ายแรง
วิธีการสืบค้น
เราใช้วิธีการค้นหาแบบมาตรฐานและครอบคลุม ของ Cochrane วันที่ค้นหาล่าสุดคือเดือนกุมภาพันธ์ 2023
เกณฑ์การคัดเลือก
การศึกษาแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม ที่ทำในกลุ่มวัยรุ่น (อายุเฉลี่ยตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป แต่ไม่ถึง 19 ปี) โดยเปรียบเทียบมาตรการด้านโภชนาการหรือด้าน 'กิจกรรม' (หรือทั้งสองอย่างร่วมกัน) เพื่อป้องกันภาวะอ้วน กับกลุ่มที่ไม่ได้รับการแทรกแซง, กลุ่มที่ได้รับการดูแลตามปกติ หรือกลุ่มที่ได้รับมาตรการอื่นที่เข้าเกณฑ์ โดยเป็นการศึกษาในทุกบริบท การศึกษาต้องวัดผลลัพธ์อย่างน้อย 12 สัปดาห์หลังการตรวจวัดพื้นฐาน เราได้คัดออกมาตรการที่ออกแบบมาโดยมุ่งเน้นการพัฒนาสมรรถนะทางการกีฬาเป็นหลัก
การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล
เราใช้วิธีตามมาตรฐานของ Cochrane ตัวชี้วัดผลลัพธ์ของเรา ได้แก่ ค่าดัชนีมวลกาย (BMI), ค่าคะแนน zBMI และเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ชนิดรุนแรง โดยประเมินผล ณ ช่วงเวลาการติดตามผลระยะสั้น (12 สัปดาห์ ถึงน้อยกว่า 9 เดือนนับจาก baseline), ระยะกลาง (9 เดือน ถึงน้อยกว่า 15 เดือน) และระยะยาว (15 เดือนขึ้นไป) เราใช้ GRADE เพื่อประเมินความเชื่อมั่นของหลักฐานสำหรับแต่ละผลลัพธ์
ผลการวิจัย
ในการทบทวนวรรณกรรมครั้งนี้ ประกอบด้วยการศึกษา 74 ฉบับ (ผู้เข้าร่วม 83,407 คน) ซึ่งในจำนวนนี้ มี 54 ฉบับ (ผู้เข้าร่วม 46,358 คน) ที่ถูกนำมารวมในการวิเคราะห์ Meta-analysis การศึกษา 60 ฉบับทำในประเทศที่มีรายได้สูง สถานที่หลักในการดำเนินมาตรการแทรกแซงคือโรงเรียน (การศึกษา 57 ฉบับ) รองลงมาคือที่บ้าน (การศึกษา 9 ฉบับ), ชุมชน (การศึกษา 5 ฉบับ) และสถานบริการปฐมภูมิ (การศึกษา 3 ฉบับ) มีมาตรการแทรกแซงจำนวน 51 โครงการ ที่ใช้ระยะเวลาดำเนินการน้อยกว่า 9 เดือน โดยใช้ระยะเวลาสั้นที่สุดคือ 1 ครั้ง และโครงการที่ยาวที่สุดใช้เวลา 28 เดือน การศึกษาจำนวน 62 ฉบับระบุว่าได้รับทุนสนับสนุนจากแหล่งทุนที่ไม่ใช่ภาคอุตสาหกรรม และอีก 5 ฉบับได้รับทุนสนับสนุนบางส่วนจากภาคอุตสาหกรรม
มาตรการด้านอาหารเทียบกับกลุ่มควบคุม
หลักฐานมีความไม่แน่นอนอย่างมากเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการด้านอาหารต่อดัชนีมวลกาย (BMI) ในการติดตามผลระยะสั้น (mean Difference (MD) -0.18, 95% ช่วงความเชื่อมั่น (CI) -0.41 ถึง 0.06; การศึกษา 3 ฉบับ, 605 ผู้เข้าร่วม), การติดตามผลระยะปานกลาง (MD -0.65, 95% CI -1.18 ถึง -0.11; การศึกษา 3 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 900 คน) และค่าดัชนีมวลกายมาตรฐาน (zBMI) ที่การติดตามผลระยะยาว (MD -0.14, 95% CI -0.38 ถึง 0.10; การศึกษา 2 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 1089 คน); โดยทั้งหมดนี้เป็นหลักฐานที่มีความเชื่อมั่นต่ำมาก เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม มาตรการด้านอาหารอาจส่งผลน้อยมากหรือไม่มีผลเลยต่อค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ในการติดตามผลระยะยาว (MD -0.30, 95% CI -1.67 ถึง 1.07; การศึกษา 1 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 44 คน), ต่อค่าดัชนีมวลกายมาตรฐาน (zBMI) ในการติดตามผลระยะสั้น (MD -0.06, 95% CI -0.12 ถึง 0.01; การศึกษา 5 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 3154 คน), และต่อค่า zBMI ในการติดตามผลระยะกลาง (MD 0.02, 95% CI -0.17 ถึง 0.21; การศึกษา 1 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 112 คน) โดยทั้งหมดนี้เป็นหลักฐานที่มีความเชื่อมั่นในระดับต่ำ
มาตรการด้านอาหารอาจมีผลเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีผลกระทบต่อเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ร้ายแรง (การศึกษา 2 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 377 คน; หลักฐานมีความเชื่อมั่นต่ำ)
มาตรการส่งเสริมกิจกรรมทางกายเทียบกับกลุ่มควบคุม
เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม มาตรการส่งเสริมกิจกรรมทางกายไม่ช่วยลดค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ในการติดตามผลระยะสั้น (MD -0.64, 95% CI -1.86 ถึง 0.58; การศึกษา 6 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 1780 คน; เป็นหลักฐานที่มีความเชื่อมั่นในระดับต่ำ) และน่าจะไม่ช่วยลดค่าดัชนี zBMI ในการติดตามผลระยะกลาง (MD 0, 95% CI -0.04 ถึง 0.05; การศึกษา 6 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 5335 คน) หรือระยะยาว (MD -0.05, 95% CI -0.12 ถึง 0.02; การศึกษา 1 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 985 คน) ซึ่งทั้งสองกรณีนี้เป็นหลักฐานที่มีความเชื่อมั่นในระดับปานกลาง มาตรการส่งเสริมกิจกรรมทางกายไม่ช่วยลดค่าดัชนี zBMI ในการติดตามผลระยะสั้น (MD 0.02, 95% CI -0.01 ถึง 0.05; การศึกษา 7 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 4718 คน; เป็นหลักฐานที่มีความเชื่อมั่นในระดับสูง) แต่อาจช่วยลดค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ได้เล็กน้อยในการติดตามผลระยะกลาง (MD -0.32, 95% CI -0.53 ถึง -0.11; การศึกษา 3 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 2143 คน) และระยะยาว (MD -0.28, 95% CI -0.51 ถึง -0.05; การศึกษา 1 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 985 คน) ซึ่งทั้งสองกรณีนี้เป็นหลักฐานที่มีความเชื่อมั่นในระดับต่ำ
มีการศึกษา 7 ฉบับ (ผู้เข้าร่วม 5428 คน; เป็นหลักฐานที่มีความเชื่อมั่นในระดับต่ำ) ที่รายงานข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ชนิดร้ายแรง โดยมีการศึกษา 2 ฉบับรายงานการบาดเจ็บที่เกี่ยวข้องกับส่วนของการออกกำลังกายในโปรแกรม และการศึกษาอีก 5 ฉบับรายงานว่าโปรแกรมที่จัดให้ไม่มีผลต่อการเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ร้ายแรง
มาตรการด้านอาหารและกิจกรรมทางกายเทียบกับกลุ่มควบคุม
มาตรการด้านอาหารและกิจกรรมทางกาย เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม ไม่ได้ช่วยลดดัชนีมวลกาย (BMI) ในการติดตามผลระยะสั้น (ค่าเฉลี่ยความแตกต่าง (MD) 0.03, ช่วงความเชื่อมั่น 95% (CI) -0.07 ถึง 0.13; การศึกษา 11 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 3429 คน; เป็นหลักฐานที่มีความเชื่อมั่นในระดับสูง) และน่าจะไม่ได้ช่วยลด BMI ในการติดตามผลระยะกลาง (MD 0.01, 95% CI -0.09 ถึง 0.11; การศึกษา 8 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 5612 คน; เป็นหลักฐานที่มีความเชื่อมั่นในระดับปานกลาง) หรือระยะยาว (MD 0.06, 95% CI -0.04 ถึง 0.16; การศึกษา 6 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 8736 คน; เป็นหลักฐานที่มีความเชื่อมั่นในระดับปานกลาง) มาตรการเหล่านี้อาจมีผลเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีผลเลยต่อค่าคะแนนมาตรฐานของดัชนี zBMI ในระยะสั้น แต่หลักฐานยังมีความไม่แน่นอนสูงมาก (MD -0.09, 95% CI -0.2 ถึง 0.02; การศึกษา 3 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 515 คน; เป็นหลักฐานที่มีความเชื่อมั่นในระดับต่ำมาก) และอาจไม่ช่วยลดค่า zBMI ในการติดตามผลระยะกลาง (MD -0.05, 95% CI -0.1 ถึง 0.01; การศึกษา 6 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 3511 คน; เป็นหลักฐานที่มีความเชื่อมั่นในระดับต่ำ) หรือระยะยาว (MD -0.02, 95% CI -0.05 ถึง 0.01; การศึกษา 7 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 8430 คน; เป็นหลักฐานที่มีความเชื่อมั่นในระดับต่ำ)
มีการศึกษา 4 ฉบับ (ผู้เข้าร่วม 2394 คน) ที่รายงานข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่ร้ายแรง (ซึ่งเป็นหลักฐานที่มีความเชื่อมั่นในระดับต่ำมาก) โดยการศึกษา 1 ฉบับรายงานว่าพบความกังวลเรื่องน้ำหนักเพิ่มขึ้นในวัยรุ่นจำนวนเล็กน้อย ส่วนอีก 3 ฉบับรายงานว่าไม่พบผลกระทบใดๆ
ข้อสรุปของผู้วิจัย
หลักฐานบ่งชี้ว่าการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารอาจมีผลเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีผลเลยต่อภาวะอ้วนในวัยรุ่น มีหลักฐานที่มีความเชื่อมั่นต่ำซึ่งชี้ว่า มาตรการส่งเสริมกิจกรรมทางกายอาจมีผลดีเล็กน้อยต่อค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ในการติดตามผลระยะกลางและระยะยาว มาตรการที่ใช้การปรับเปลี่ยนอาหารร่วมกับการส่งเสริมกิจกรรมทางกาย อาจส่งผลให้เกิดความแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือไม่แตกต่างเลย ที่สำคัญ การทบทวนฉบับปรับปรุงนี้ยังชี้ให้เห็นว่ามาตรการเพื่อป้องกันโรคอ้วนในกลุ่มอายุนี้อาจส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงที่ร้ายแรงเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย ข้อจำกัดของหลักฐานรวมถึงผลลัพธ์ที่ไม่สอดคล้องกันในการศึกษาต่างๆ การขาดความเข้มงวดด้านระเบียบวิธีในการศึกษาบางฉบับ และขนาดตัวอย่างที่น้อย
สมควรมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเพื่อตรวจสอบผลของมาตรการด้านอาหารและการส่งเสริมกิจกรรมทางกายในการป้องกันภาวะโรคอ้วนในเด็กสำหรับบริบทชุมชน และในกลุ่มเด็กและเยาวชนผู้พิการ เนื่องจากมีงานวิจัยที่กำลังดำเนินการอยู่ในปัจจุบันน้อยมากที่จะศึกษาในประเด็นเหล่านี้ การทดลองแบบสุ่มเพิ่มเติมเพื่อหาข้อสรุปที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับประสิทธิผลของมาตรการด้านอาหาร, ด้านกิจกรรมทางกาย หรือทั้งสองอย่างร่วมกันในการป้องกันภาวะโรคอ้วนในเด็กซึ่งดำเนินการในโรงเรียน จำเป็นต้องมีกลุ่มตัวอย่างที่มีขนาดใหญ่ขึ้น (โดยควรใช้ค่า zBMI เป็นตัวชี้วัดผลลัพธ์)
แปลโดย พญ.วิลาสินี หน่อแก้ว โรงพยาบาลมะเร็งอุบลราชธานี Edit โดย พ.ญ. ผกากรอง ลุมพิกานนท์ วันที่ 28 มิถุนายน 2025