ความเป็นมา
การติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนแบบเฉียบพลัน (URTIs) เป็นโรคติดเชื้อเฉียบพลันที่พบบ่อยที่สุดในเด็ก โดยเฉพาะในเด็กก่อนวัยเรียน วิตามินเอมีบทบาทเชิงบวกในระบบภูมิคุ้มกันและอาจปรับปรุงการที่ร่างกายป้องกันการติดเชื้อได้ ผลการศึกษาพบว่าเด็กที่ขาดวิตามินมีแนวโน้มที่จะติดเชื้อทางเดินหายใจมากกว่า ดังนั้นเราจึงประเมินบทบาทของการเสริมวิตามินเอในการป้องกันการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนแบบเฉียบพลันในเด็กก่อนวัยเรียน (อายุไม่เกิน 7 ปี)
คำถามของการทบทวนวรรณกรรม
การเสริมวิตามินเอมีบทบาทอย่างไรในการป้องกันการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนเฉียบพลันในเด็กก่อนวัยเรียน (อายุไม่เกิน 7 ปี) เมื่อเทียบกับการไม่เสริมเลย
วันที่สืบค้น
เราค้นหาหลักฐานจนถึงวันที่ 8 มิถุนายน 2023
ลักษณะของการศึกษา
การศึกษาที่นำเข้ามาทั้งหมดดำเนินการในประเทศที่มีรายได้ปานกลางถึงต่ำ (2 ฉบับในอินเดีย 2 ฉบับในแอฟริกาใต้ 1 ฉบับในเอกวาดอร์ และ 1 ฉบับในเฮติ) การศึกษา 3 ฉบับรวมเด็กที่มีสุขภาพดีและไม่มีการขาดวิตามินเอ การศึกษา 1 ฉบับรวมเด็กที่เกิดจากสตรีที่ติดเชื้อ HIV การศึกษา 1 ฉบับรวมทารกแรกเกิดที่มีน้ำหนักแรกเกิดน้อย และการศึกษา 1 ฉบับรวมเด็กในพื้นที่ที่มีแนวโน้มที่จะประสบกับภาวะทุพโภชนาการและตาแห้ง ในการศึกษา 2 ฉบับ วิตามินอีถูกใช้เป็นการรักษาร่วมที่ให้ควบคู่ไปกับวิตามินเอ
ผลการศึกษาที่สำคัญ
เรารวบรวมการศึกษา 6 ฉบับ มีผู้เข้าร่วม 27,351 คน เรามีความเชื่อมั่นต่ำมากถึงต่ำในหลักฐานที่ได้จากการศึกษา
การศึกษา 5 ฉบับรายงานจำนวน URTI เฉียบพลันในช่วงระยะเวลาหนึ่ง การศึกษาที่รวบรวมมานั้นแตกต่างกันไปตามประชากรและผลลัพธ์ถูกนำเสนอในรูปแบบที่แตกต่างกัน ดังนั้นเราจึงสามารถรวมการศึกษา 3 ฉบับเข้าด้วยกันเท่านั้น (การวิเคราะห์อภิมาน) เราไม่แน่ใจว่าการเสริมวิตามินเอจะช่วยลดจำนวน URTI เฉียบพลันในช่วง 2 สัปดาห์หรือไม่ (การศึกษา 3 ฉบับ มีผู้เข้าร่วม 22,668 คน) การศึกษา 2 ฉบับรายงานสัดส่วนของผู้เข้าร่วมที่มีภาวะ URTI เฉียบพลัน ผลของการเสริมวิตามินเอต่อสัดส่วนของผู้เข้าร่วมที่มีภาวะ URTI เฉียบพลันนั้นไม่แน่นอน (การศึกษา 2 ฉบับ ผู้เข้าร่วม 15,535 คน) การศึกษาเพียง 1 ฉบับ (ผู้เข้าร่วม 116 คน) รายงานเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ และไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นในทารกในกลุ่มยาหลอกหรือกลุ่มวิตามินเอ
การศึกษา 2 ฉบับ (ผู้เข้าร่วม 296 คน) รายงานความรุนแรงของอาการที่แสดงโดยระยะเวลาเฉลี่ยของ URTI เฉียบพลัน วิตามินเออาจมีผลเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีผลเลยต่อระยะเวลาเฉลี่ยของภาวะ URTI เฉียบพลัน
ข้อสรุปของผู้เขียน
จากหลักฐานที่เรามีความเชื่อมั่นต่ำไปจนถึงต่ำมาก เราพบว่าการใช้อาหารเสริมวิตามินเอเพื่อป้องกันภาวะ URTI เฉียบพลันในเด็กอายุไม่เกิน 7 ปีอาจไม่มีประโยชน์ จำเป็นต้องมีการศึกษาคุณภาพสูงโดยมุ่งเน้นไปที่เด็กก่อนวัยเรียนที่ขาดวิตามินเอเพื่อระบุว่าการเสริมวิตามินเออาจมีประสิทธิผลหรือไม่
Read the full abstract
จากการศึกษาวิเคราะห์ความชุกทั่วโลก การติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนแบบเฉียบพลัน (acute upper respiratory tract infections; URTI) เป็นโรคติดเชื้อเฉียบพลันที่พบบ่อยที่สุดในเด็ก โดยเฉพาะในเด็กก่อนวัยเรียน โรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนแบบเฉียบพลันทำให้เกิดภาระทางเศรษฐกิจต่อครอบครัวและสังคม วิตามินเอหมายถึงสารประกอบที่ละลายในไขมันออลทรานส์เรตินอล และยังหมายถึงเรตินอลและสารออกฤทธิ์ของมันอีกด้วย วิตามินเอมีปฏิกิริยากับทั้งระบบภูมิคุ้มกันโดยกำเนิดและระบบภูมิคุ้มกันแบบตอบสนองจำเพาะ และช่วยเพิ่มการป้องกันโดยกลไกป้องกันการติดเชื้อของร่างกาย การศึกษาความสัมพันธ์แสดงให้เห็นว่าการขาดเรตินอลในเลือด มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่สูงขึ้นของการติดเชื้อทางเดินหายใจ ดังนั้นการเสริมวิตามินเอจึงอาจมีความสำคัญในการป้องกันโรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนเฉียบพลันได้
วัตถุประสงค์
เพื่อประเมินประสิทธิภาพและความปลอดภัยของการเสริมวิตามินเอในการป้องกันการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนแบบเฉียบพลันในเด็กอายุไม่เกิน 7 ปี
วิธีการสืบค้น
เราค้นหา CENTRAL, MEDLINE, Embase, ฐานข้อมูลวรรณกรรมชีวการแพทย์จีน และแพลตฟอร์มการลงทะเบียนทดลอง 2 แห่ง จนถึงวันที่ 8 มิถุนายน 2023 นอกจากนี้เรายังตรวจสอบรายการอ้างอิงของการศึกษาระดับประฐมภูมิ (primary studies) ทั้งหมดและตรวจสอบการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบและการทดลองที่เกี่ยวข้องเพื่อหาข้อมูลอ้างอิงเพิ่มเติม เราไม่ได้กำหนดข้อจำกัดด้านภาษาหรือการตีพิมพ์
เกณฑ์การคัดเลือก
เรารวบรวมการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม (randomised controlled trials; RCTs) ซึ่งประเมินบทบาทของการเสริมวิตามินเอในการป้องกันโรค URTI เฉียบพลันในเด็กอายุไม่เกิน 7 ปี
การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล
เราใช้ระเบียบวิธีการมาตรฐานที่ Cochrane กำหนดไว้
ผลการวิจัย
เรารวบรวมการศึกษา 6 ฉบับ (ผู้เข้าร่วม 27,351 คน) การศึกษา 4 ฉบับเป็น RCT และการศึกษา 2 ฉบับเป็น Cluster-RCT การศึกษาที่นำเข้ามาทั้งหมดดำเนินการในประเทศที่มีรายได้ปานกลางถึงต่ำ (2 ฉบับในอินเดีย, 2 ฉบับในแอฟริกาใต้, 1 ฉบับในเอกวาดอร์ และ 1 ฉบับในเฮติ) การศึกษา 3 ฉบับศึกษาในเด็กที่มีสุขภาพดีที่ไม่มีการขาดวิตามินเอ การศึกษา 1 ฉบับศึกษาในเด็กที่เกิดจากสตรีที่ติดเชื้อ HIV การศึกษา 1 ฉบับศึกษาในทารกแรกเกิดที่มีน้ำหนักแรกเกิดน้อย และการศึกษา 1 ฉบับศึกษาในเด็กในพื้นที่ที่มีความชุกของภาวะทุพโภชนาการและภาวะสายตาผิดปกติสูง ในการศึกษา 2 ฉบับ วิตามินอีถูกใช้เป็นการรักษาร่วมที่ให้ควบคู่ไปกับวิตามินเอ เราตัดสินว่าการศึกษาที่รวบรวมมามีความเสี่ยงสูงหรือไม่ชัดเจนของอคติในการสร้างลำดับแบบสุ่ม ข้อมูลผลลัพธ์ที่ไม่สมบูรณ์ และการปกปิดกลุ่ม
ผลลัพธ์หลัก
การศึกษา 6 ฉบับรายงานอุบัติการณ์ของ URTI เฉียบพลันในช่วงระยะเวลาการศึกษา การศึกษา 5 ฉบับรายงานจำนวน URTI เฉียบพลันในช่วงเวลาหนึ่ง แต่มีความหลากหลายของประชากรและผลลัพธ์ถูกนำเสนอในรูปแบบที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงมีการศึกษาเพียง 3 ฉบับเท่านั้นที่ได้รับการวิเคราะห์อภิมาน เราไม่แน่ใจถึงผลของการเสริมวิตามินเอต่อจำนวน URTI เฉียบพลันในช่วง 2 สัปดาห์ (อัตราส่วนความเสี่ยง (RR) 1.00, 95% ช่วงความเชื่อมั่น (CI) 0.92 ถึง 1.09; I 2 = 44%; การศึกษา 3 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 22,668 คน; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ) การศึกษา 2 ฉบับรายงานสัดส่วนของผู้เข้าร่วมที่มีภาวะ URTI เฉียบพลัน เราไม่แน่ใจถึงผลของการเสริมวิตามินเอต่อสัดส่วนของผู้เข้าร่วมที่มีภาวะ URTI เฉียบพลัน (การศึกษา 2 ฉบับ ผู้เข้าร่วม 15,535 คน; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ) มีเพียงการศึกษา 1 ฉบับ (ผู้เข้าร่วม 116 คน) ที่รายงานเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ ไม่พบทารกในกลุ่มที่ได้รับยาหลอกหรือกลุ่มวิตามินเอที่มีปัญหาในการรับประทานอาหาร (ไม่สามารถให้อาหารหรืออาเจียน) กระหม่อมนูน หรืออาการทางระบบประสาทก่อนหรือหลังการให้วิตามินเอ (หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก)
ผลลัพธ์รอง
การศึกษา 2 ฉบับ (ผู้เข้าร่วม 296 คน) รายงานความรุนแรงของอาการที่แสดงโดยระยะเวลาเฉลี่ยของ URTI เฉียบพลัน วิตามินเออาจมีผลเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีผลเลยต่อระยะเวลาเฉลี่ยของ URTI เฉียบพลัน (หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก)
ข้อสรุปของผู้วิจัย
หลักฐานสำหรับการให้การเสริมวิตามินเอเพื่อป้องกัน URTI เฉียบพลันนั้นไม่แน่นอน เนื่องจากประชากร ขนาดยา และระยะเวลาของการรักษา และผลลัพธ์จะแตกต่างกันไปในแต่ละการศึกษา จากหลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมากไปจนถึงต่ำ เราพบว่าอาจไม่มีประโยชน์ในการใช้การเสริมวิตามินเอเพื่อป้องกัน URTI เฉียบพลันในเด็กอายุไม่เกิน 7 ปี จำเป็นต้องมี RCT เพิ่มเติมเพื่อเสริมสร้างหลักฐานที่มีในปัจจุบัน การวิจัยในอนาคตควรรายงานในกรอบเวลาที่นานขึ้นโดยใช้เครื่องมือที่ผ่านการตรวจสอบและการรายงานที่สม่ำเสมอ และรับประกันการคำนวณ power ที่เพียงพอ เพื่อให้สามารถสังเคราะห์ข้อมูลได้ง่ายขึ้น สุดท้ายนี้ การประเมินการเสริมวิตามินเอสำหรับเด็กก่อนวัยเรียนที่ขาดวิตามินเอเป็นสิ่งสำคัญ
แปลโดย แพทย์หญิงวิลาสินี หน่อแก้ว โรงพยาบาลมะเร็งอุบลราชธานี Edit โดยพ.ญ. ผกากรอง ลุมพิกานนท์ 6 มิถุนายน 2025