ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

วิธีป้องกันการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในผู้ใหญ่ที่มีภาวะทางจิตในประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง

ผู้วิจัยสืบค้นและประเมินหลักฐานอย่างไร

ผู้วิจัยค้นหางานวิจัยทางการแพทย์เพื่อตรวจสอบหลักฐานเกี่ยวกับผลของวิธีป้องกันการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 วิธีต่างๆ ทั้งการใช้ยา, การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม, การพัฒนาระบบสาธารณสุขในผู้ที่มีภาวะทางจิตในประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง (low- and middle-income countries; LMICs) โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นภาวะที่ร้ายแรงซึ่งเกิดขึ้นเมื่อร่างกายเสียสมดุลของฮอร์โมนอินซูลิน โดยมีสาเหตุหลายประการทีนำไปสู่โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เช่น การมีน้ำหนักเกิน, ความดันโลหิตสูง, การออกกำลังกายไม่เพียงพอ, มีประวัติครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน และปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ที่เป็นไปได้

ผู้วิจัยรวบรวมการทดลองแบบ randomized controlled trials (RCTs) ที่เผยแพร่จนถึงวันที่ค้นหาคือ 20 กุมภาพันธ์ 2020

ทำไมเรื่องนี้จึงมีความสำคัญ

ผู้ที่มีภาวะทางจิต เช่น โรคจิตเภท (schizophrenia), โรคอารมณ์สองขั้ว (bipolar disorder) และโรคซึมเศร้า (major depressive disorder) มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มากกว่าคนทั่วไป ผู้ป่วยทางจิตหลายคนที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานอาศัยอยู่ในประเทศ LMICs ที่ซึ่งระบบสาธารณสุขอาจไม่เอื้ออำนวยในการดูแลโรคเบาหวาน ดังนั้น การป้องกันการเกิดโรคเบาหวานจึงมีความสำคัญต่อผู้ที่มีภาวะทางจิตและระบบสาธารณสุขในประเทศ LMICs

ผู้วิจัยพบอะไร

ในบรรดาผู้ใหญ่ที่มีภาวะทางจิต ผู้วิจัยพบเพียงการศึกษาเดียวที่ประเมินในผลลัพธ์หลัก คือ การป้องกันการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งการศึกษานี้ทำในโรงพยาบาลและมีผู้เข้าร่วม 150 คน (99 คนเป็นโรคจิตเภท) พบว่ามีหลักฐานความน่าเชื่อถือต่ำที่บ่งชี้ว่า ไม่มีความแตกต่างของความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ระหว่างการใช้ยารักษาโรคจิตรุ่นเก่า (typical antipsychotics) กับยารักษาโรคจิตรุ่นใหม่ (atypical antipsychotics)

ผู้วิจัยได้รวบรวมการศึกษาเพิ่มเติมอีก 29 การศึกษาโดยมีผู้เข้าร่วม 2481 คนที่ประเมินผลลัพธ์รองอย่างน้อยหนึ่งรายการ ซึ่งการศึกษาทั้งหมดดำเนินการในสถานพยาบาลและศึกษาการใช้ยา โดยไม่มีการศึกษาใดประเมินวิธีการพัฒนาระบบสาธารณสุข และมีเพียงการศึกษาเดียวเท่านั้นที่ประเมินการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม แต่ก็มีการใช้ยาร่วมด้วย

สำหรับผลลัพธ์เกี่ยวกับการถอนตัว (จำนวนผู้ป่วยที่ออกจากการศึกษาก่อนที่จะสิ้นสุด) ผู้วิจัยไม่พบหลักฐานที่แสดงความแตกต่างระหว่างกลุ่มที่ได้รับยา atypical antipsychotics เทียบกับกลุ่มที่ได้รับยา typical antipsychotics เช่นเดียวกับในการศึกษาที่เปรียบเทียบระหว่างการให้ยา metformin (ยาที่ใช้ในการรักษาโรคเบาหวาน) กับยาหลอก และการศึกษาที่เปรียบเทียบการให้ยา melatonin (ฮอร์โมนที่ควบคุมการนอนหลับ) กับยาหลอก หลักฐานความน่าเชื่อถือต่ำมากจากการศึกษา 1 รายการ ชี้ให้เห็นว่าอาจมีการถอนตัวของผู้เข้าร่วมมากขึ้นในกลุ่มที่ได้รับยา tricyclic antidepressant เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยา selective serotonin reuptake inhibitors (ยาต้านซึมเศร้าอีกชนิดหนึ่ง)

ผู้วิจัยไม่พบหลักฐานที่แสดงความแตกต่างของระดับน้ำตาลในเลือดเมื่ออดอาหารในการเปรียบเทียบระหว่างการให้ยา atypical และ typical antipsychotics, ระหว่างยา metformin และยาหลอก, หรือระหว่างยา tricyclic antidepressants และ selective serotonin reuptake inhibitors ในขณะที่ พบว่าระดับน้ำตาลในเลือดเมื่ออดอาหารมีแนวโน้มต่ำกว่าในกลุ่มที่ได้รับยา melatonin เมื่อเทียบกับยาหลอก

ดัชนีมวลกาย (Body mass index) พบว่ามีค่าต่ำกว่าในกลุ่มที่ได้รับยา metformin เมื่อเทียบกับยาหลอก และต่ำกว่าในกลุ่มที่ได้รับยา typical antipsychotics เมื่อเทียบกับ atypical antipsychotics

ระดับคอเลสเตอรอลพบว่ามีค่าต่ำกว่าในกลุ่มที่ได้รับยา typical antipsychotics เมื่อเทียบกับ atypical antipsychotics

ไม่พบหลักฐานที่แสดงความแตกต่างของขนาดรอบเอวหรือความดันโลหิตสำหรับการศึกษาใดๆ

ความน่าเชื่อถือของหลักฐาน

การศึกษาเดียวที่ประเมินการป้องกันการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ให้หลักฐานที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ ซึ่งถูกลดความน่าเชื่อถือจาก ขนาดการศึกษาที่เล็ก และประเด็นสำคัญหลายประการมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอคติ ส่วนการศึกษาอื่นๆ ที่รายงานในผลลัพธ์รองโดยทั่วไปแล้วให้หลักฐานที่มีความน่าเชื่อถือปานกลางถึงสูง

บทสรุป

สำหรับผู้ที่มีภาวะทางจิตในประเทศ LMIC ผู้วิจัยยังไม่ทราบว่าวิธีใดเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 มีเพียงการศึกษาเดียวที่ให้หลักฐานความน่าเชื่อถือต่ำเกี่ยวกับการป้องกันโรคเบาหวาน การวิจัยเพิ่มเติมในอนาคตไม่ควรมุ่งเน้นไปที่การใช้ยาเพียงอย่างเดียว แต่ควรรวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการพัฒนาระบบสาธารณสุขด้วย เพื่อเรียนรู้ว่าวิธีการดังกล่าวมีประสิทธิผลและเหมาะสมในบริบทของประเทศ LMIC หรือไม่

บทนำ

ความชุกของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เพิ่มขึ้นในผู้ที่มีความผิดปกติทางจิต ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญเป็นประชากรของประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง (low- and middle-income countries; LMICs)

วัตถุประสงค์

เพื่อประเมินผลของการใช้ยา, การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการพัฒนาระบบสาธารณสุข เทียบกับตัวเปรียบเทียบอื่นๆ ในการป้องกันหรือชะลอการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในผู้ป่วยทางจิตในประเทศ LMICs

วิธีการสืบค้น

ผู้วิจัยสืบค้นใน Cochrane Common Mental Disorders Controlled Trials Register, CENTRAL, MEDLINE, Embase และฐานข้อมูลอื่นๆ อีก 6 รายการรวมถึงการลงทะเบียนการทดลองระดับสากลอีก 3 แห่ง นอกจากนี้ยังค้นหาในรายงานการประชุมและตรวจสอบจากรายการอ้างอิงของบทวิจารณ์ที่เกี่ยวข้อง การค้นหาเป็นปัจจุบันถึง 20 กุมภาพันธ์ 2020

เกณฑ์การคัดเลือก

การทดลองแบบ randomized controlled trials (RCTs) ของการใช้ยา, การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หรือการพัฒนาระบบสาธารณสุข ที่มีเป้าหมายเพื่อป้องกันหรือชะลอการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในผู้ใหญ่ที่มีความผิดปกติทางจิตในประเทศ LMICs

การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล

ผู้วิจัย 2 คนได้คัดเลือกการศึกษา, ประเมินความเสี่ยงของอคติ และสกัดข้อมูลอย่างเป็นอิสระต่อกัน และทำการวิเคราะห์อภิมานโดยใช้แบบจำลอง random-effects models

ผลการวิจัย

มี RCT 1 ฉบับที่ทำในโรงพยาบาลที่มีผู้เข้าร่วม 150 คน (99 คนเป็นโรคจิตเภท) รายงานผลลัพธ์หลักในการป้องกันหรือชะลอการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ทว่า หลักฐานความน่าเชื่อถือต่ำจากการศึกษานี้ไม่ได้แสดงความแตกต่างระหว่างยา atypical และ typical antipsychotics ในการเกิดโรคเบาหวานที่หกสัปดาห์ (risk ratio (RR) 0.46, 95% confidence interval (CI) 0.03 ถึง 7.05) (ในบรรดาผู้ป่วยโรคจิตเภททั้งหมด 99 คน มี 68 คนได้รับยา atypical antipsychotics และ 31 คนได้รับยา typical antipsychotics; ผู้เข้าร่วมที่ไม่มีอาการป่วยทางจิตจำนวน 55 คนถูกตัดออกไปจากการวิเคราะห์)

นอกจากนี้ยังมีการศึกษาเพิ่มเติมอีก 29 รายการโดยมีผู้เข้าร่วม 2481 คนที่ประเมินผลลัพธ์รองอย่างน้อยหนึ่งรายการ ซึ่งการศึกษาทั้งหมดดำเนินการในสถานพยาบาลและศึกษาการใช้ยา มีการศึกษาหนึ่งรายการซึ่งไม่สามารถรวมไว้ในการวิเคราะห์อภิมาน ได้ศึกษาการใช้ยาและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม แต่ไม่พบการศึกษาใดๆ เกี่ยวกับการพัฒนาระบบสาธารณสุข

หลักฐานความน่าเชื่อถือต่ำถึงปานกลางชี้ให้เห็นว่า อัตราถอนตัวจากการศึกษาอาจไม่แตกต่างกันระหว่างการใช้ยา atypical และ typical antipsychotics (RR 1.31, 95% CI 0.63 ถึง 2.69; 2 การศึกษา, ผู้เข้าร่วม 144 คน) รวมไปถึงระดับน้ำตาลในเลือดเมื่ออดอาหาร (mean difference (MD) < 0.05, 95% CI 0.10 ถึง 0.00; 2 การศึกษา, ผู้เข้าร่วม 211 คน) ผู้เข้าร่วมที่ได้รับยา typical antipsychotics อาจมีดัชนีมวลกาย (body mass index; BMI) ท่ีต่ำกว่าในการติดตามผลเมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยา atypical antipsychotics (MD 0.57, 95% CI 0.33 ถึง 0.81; 2 การศึกษา, ผู้เข้าร่วม 141 คน; หลักฐานความน่าเชื่อถือปานกลาง) และอาจมีระดับคอเลสเตอรอลโดยรวมลดลงที่แปดสัปดาห์หลังเริ่มการรักษา (MD 0.35, 95% CI 0.27 ถึง 0.43; 1 การศึกษา, ผู้เข้าร่วม 112 คน)

มีหลักฐานความน่าเชื่อถือปานกลางที่บ่งชี้ว่าอัตราถอนตัวจากการศึกษาอาจไม่แตกต่างกันระหว่างการใช้ยา metformin เทียบกับยาหลอก (RR 1.22, 95% CI 0.09 ถึง 16.35; 3 การศึกษา, ผู้เข้าร่วม 158 คน) มีหลักฐานความน่าเชื่อถือปานกลางถึงสูงที่ชี้ว่าไม่มีความแตกต่างของระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารระหว่างการใช้ยา metformin เทียบกับยาหลอก (ข้อมูลเมื่อสิ้นสุดการศึกษา: MD -0.35, 95% CI -0.60 ถึง -0.11; การเปลี่ยนแปลงจากข้อมูลเริ่มต้น: MD 0.01, 95% CI -0.21 ถึง 0.22; 5 การศึกษา, ผู้เข้าร่วม 264 คน) มีหลักฐานความน่าเชื่อถือสูงที่บ่งชี้ว่าค่าดัชนีมวลกายต่ำกว่าในกลุ่มที่ใช้ยา metformin เทียบกับยาหลอก (MD -1.37, 95% CI -2.04 ถึง -0.70; 5 การศึกษา, ผู้เข้าร่วม 264 คน; หลักฐานความน่าเชื่อถือสูง) แต่ไม่มีผลต่อขนาดรอบเอว, ความดันโลหิต หรือระดับคอเลสเตอรอล

มีหลักฐานความน่าเชื่อถือต่ำจากหนึ่งการศึกษา (ผู้เข้าร่วม 48 คน) ที่บ่งชี้ว่าอัตราถอนตัวจากการศึกษาอาจไม่แตกต่างกันระหว่างการใช้ยา melatonin เทียบกับยาหลอก (RR 1.00, 95% CI 0.38 ถึง 2.66) แต่ระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารอาจลดลงในกลุ่มที่ใช้ยา melatonin เทียบกับยาหลอก (ข้อมูลเมื่อสิ้นสุดการศึกษา: MD -0.17, 95% CI -0.35 ถึง -0.01; การเปลี่ยนแปลงจากข้อมูลเริ่มต้น: MD -0.24, 95% CI -0.39 ถึง 0.09; 3 การศึกษา, ผู้เข้าร่วม 202 คน; หลักฐานความน่าเชื่อถือปานกลาง) แต่ไม่มีผลต่อขนาดรอบเอว, ความดันโลหิต หรือระดับคอเลสเตอรอล

หลักฐานความน่าเชื่อถือต่ำมากจากการศึกษา 1 รายการ (ผู้เข้าร่วม 25 คน) ชี้ให้เห็นว่าอาจมีการถอนตัวของผู้เข้าร่วมมากขึ้นในกลุ่มที่ได้รับยา tricyclic antidepressant (TCA) เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยา selective serotonin reuptake inhibitors (SSRI) (RR 0.34, 95% CI 0.11 ถึง 1.01) แต่อาจไม่มีความแตกต่างของระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร (MD -0.39, 95% CI -0.88 ถึง 0.10; 3 การศึกษา, ผู้เข้าร่วม 141 คน; หลักฐานความน่าเชื่อถือปานกลาง) รวมไปถึงค่าดัชนีมวลกาย และภาวะซึมเศร้าระหว่างกลุ่ม TCA และ SSRI

ข้อสรุปของผู้วิจัย

มีเพียงการศึกษาเดียวเท่านั้นที่รายงานข้อมูลเกี่ยวกับผลลัพธ์หลักซึ่งเป็นหลักฐานที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ พบว่าความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ไม่แตกต่างกันระหว่างกลุ่มที่ได้รับยา atypical และ typical antipsychotics ดังนั้นผู้วิจัยจึงไม่สามารถหาข้อสรุปเกี่ยวกับการป้องกันการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในผู้ที่มีความผิดปกติทางจิตในประเทศ LMIC ได้

สำหรับการศึกษาที่รายงานเกี่ยวกับผลลัพธ์รองพบว่ามีความเสี่ยงของการเกิดอคติ จึงมีความจำเป็นที่ต้องศึกษาเพิ่มเติมในผู้ป่วยจากประเทศ LMIC ที่มีความผิดปกติทางจิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการพัฒนาระบบสาธารณสุขที่มุ่งป้องกันการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในประชากรเหล่านี้

บันทึกการแปล

ผู้แปล นพ.จักรพงศ์ รู้ปิติวิริยะ แปลเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2021

การอ้างอิง
Mishu MP, Uphoff E, Aslam F, Philip S, Wright J, Tirbhowan N, Ajjan RA, Al Azdi Z, Stubbs B, Churchill R, Siddiqi N. Interventions for preventing type 2 diabetes in adults with mental disorders in low- and middle-income countries. Cochrane Database of Systematic Reviews 2021, Issue 2. Art. No.: CD013281. DOI: 10.1002/14651858.CD013281.pub2.

การใช้คุกกี้ของเรา

เราใช้คุกกี้ที่จำเป็นเพื่อให้เว็บไซต์ของเรามีประสิทธิภาพ เรายังต้องการตั้งค่าการวิเคราะห์คุกกี้เพิ่มเติมเพื่อช่วยเราปรับปรุงเว็บไซต์ เราจะไม่ตั้งค่าคุกกี้เสริมเว้นแต่คุณจะเปิดใช้งาน การใช้เครื่องมือนี้จะตั้งค่าคุกกี้บนอุปกรณ์ของคุณเพื่อจดจำการตั้งค่าของคุณ คุณสามารถเปลี่ยนการตั้งค่าคุกกี้ได้ตลอดเวลาโดยคลิกที่ลิงก์ 'การตั้งค่าคุกกี้' ที่ส่วนท้ายของทุกหน้า
สำหรับข้อมูลโดยละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุกกี้ที่เราใช้ โปรดดู หน้าคุกกี้

ยอมรับทั้งหมด
กำหนดค่า