ประเด็นคืออะไร
หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคเบาหวานจำเป็นต้องรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ โดยการควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย ใช้ยาอินซูลินหรือยาอื่นๆ ร่วมทั้งไปพบแพทย์และติดตามอาการ การทบทวนวรรณกรรมนี้พิจารณาเป้าหมายน้ำตาลในเลือดที่ดีที่สุดสำหรับหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคเบาหวาน
เหตุใดสิ่งนี้จึงสำคัญ
ผู้หญิงที่มีโรคเบาหวานประเภท 1 หรือประเภท 2 ก่อนตั้งครรภ์จะมีความเสี่ยงต่อการแท้งบุตร มีลูกตัวโต และทารกเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้น เมื่อหญิงตั้งครรภ์มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงและดื้อต่ออินซูลิน อาจส่งผลต่อการพัฒนาของหัวใจและอวัยวะอื่นๆ ของทารกได้ ทารกที่เกิดจากแม่ที่เป็นโรคเบาหวานอาจมีความเสี่ยงในการเป็นโรคอ้วนและเบาหวานประเภท 2 มากขึ้น
การตรวจติดตามระดับน้ำตาลในเลือดของหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคเบาหวานและอยู่ในช่วงเป้าหมายอาจช่วยลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้ เราต้องการค้นหาว่าเป้าหมายระดับน้ำตาลในเลือดที่ดีที่สุดสำหรับหญิงตั้งครรภ์ที่มีเบาหวานประเภท 1 หรือประเภท 2 ก่อนที่จะตั้งครรภ์คือเท่าไหร่
เราพบหลักฐานอะไร
เราพบการทดลองขนาดเล็ก 3 ฉบับ (รวมผู้หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 จำนวน 223 ราย) ซึ่งศึกษาเป้าหมายระดับน้ำตาลในเลือดที่แตกต่างกัน ได้แก่ เข้มงวดมาก, เข้มงวด, ปานกลาง และหละหลวม เนื่องจากคุณภาพของการศึกษาอยู่ในระดับต่ำ ความน่าเชื่อถือของหลักฐานจึงมีน้อย ดังนั้น ผลการวิจัยในอนาคตอาจทำให้ข้อสรุปเปลี่ยนแปลงไป
มีข้อแตกต่างเพียงเล็กน้อยระหว่างเป้าหมายน้ำตาลในเลือดที่เข้มงวดมาก (very tight) และเข้มงวด (tight) ถึงปานกลาง (moderate) ในการทดลอง 2 ฉบับ ถึงแม้จะมีกรณีน้ำตาลในเลือดต่ำ (ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ) มากขึ้นและต้องอยู่ในโรงพยาบาลนานขึ้นสำหรับผู้หญิงที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างเข้มงวดมาก
การทดลอง 1 ฉบับได้เปรียบเทียบเป้าหมายน้ำตาลในเลือดที่เข้มงวด ปานกลาง และหละหลวม ในกลุ่มที่ตั้งเป้าหมายการควบคุมระดับน้ำตาลหละหลวม (loose target group) พบว่ามีสตรีที่เป็นภาวะครรภ์เป็นพิษจำนวนมากกว่า และมีอัตราการผ่าตัดคลอดรวมถึงการคลอดทารกตัวโตสูงกว่า มีข้อแตกต่างเพียงเล็กน้อยระหว่างกลุ่มควบคุมแบบเข้มงวดและแบบปานกลาง แม้ว่าผู้หญิงในกลุ่มควบคุมแบบเข้มงวดจะมีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำในช่วงครึ่งแรกของการตั้งครรภ์มากกว่าก็ตาม
ผลลัพธ์นี้หมายความว่าอย่างไร
หลักฐานไม่ได้แสดงความแตกต่างมากนักระหว่างเป้าหมายน้ำตาลในเลือดระดับปานกลาง เข้มงวด และเข้มงวดมาก ถึงแม้ว่าเป้าหมายน้ำตาลในเลือดที่ไม่เข้มงวดอาจส่งผลเสียต่อแม่และทารกก็ตาม อย่างไรก็ตาม การศึกษายังมีขนาดเล็กและหลักฐานก็มีไม่มาก ดังนั้น เราจึงยังไม่ทราบเป้าหมายน้ำตาลในเลือดที่ดีที่สุดสำหรับสตรีที่มีโรคเบาหวานก่อนตั้งครรภ์
Read the full abstract
เป้าหมายการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดที่เหมาะสมที่สุดในหญิงตั้งครรภ์ที่มีโรคเบาหวานอยู่ก่อนแล้วยังไม่ชัดเจน แม้ว่าจะมีความเชื่อมโยงที่ชัดเจนระหว่างความเข้มข้นของกลูโคสที่สูงและผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ขณะคลอดก็ตาม
วัตถุประสงค์
เพื่อประเมินผลของการควบคุมน้ำตาลในเลือดในความเข้มข้นที่แตกต่างกันในหญิงตั้งครรภ์ที่มีโรคเบาหวานประเภท 1 หรือประเภท 2 อยู่ก่อนแล้ว
วิธีการสืบค้น
เราได้ค้นหาใน Cochrane Pregnancy and Childbirth Group's Trials Register (31 มกราคม 2016) และวางแผนที่จะค้นหาในรายการอ้างอิงของการศึกษาที่ค้นพบ
เกณฑ์การคัดเลือก
เราได้รวบรวมการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุมที่เปรียบเทียบเป้าหมายการควบคุมน้ำตาลในเลือดที่แตกต่างกันในหญิงตั้งครรภ์ที่มีโรคเบาหวานอยู่ก่อนแล้ว
การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล
ผู้ทบทวนวรรณกรรม 2 ท่านได้ประเมินการศึกษาเพื่อคัดเลือกเข้าในการทบทวนวรรณกรรม, ดำเนินการดึงข้อมูล, ประเมินความเสี่ยงของการมีอคติ และตรวจสอบความถูกต้อง โดยแต่ละท่านดำเนินการอย่างเป็นอิสระต่อกัน เราได้ประเมินคุณภาพของหลักฐานที่ได้โดยวิธีการของ GRADE
ผลการวิจัย
เราได้รวบรวมการทดลอง 3 ฉบับ ซึ่งทั้งหมดเป็นการศึกษาในผู้หญิงที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 1 (ประกอบด้วยผู้หญิงและทารกจำนวน 223 คู่) การทดลองทั้ง 3 ฉบับมีความเสี่ยงของการมีอคติสูง เนื่องจากไม่มีการปกปิดข้อมูล วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างไม่ชัดเจนและมีการรายงานผลลัพธ์แบบเลือกเฉพาะเจาะจง มีการทดลอง 2 ฉบับที่เปรียบเทียบเป้าหมายการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแบบเข้มงวดมาก (ค่าระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร 3.33 ถึง 5.0 mmol/L) กับแบบเข้มงวดปานกลาง (4.45 ถึง 6.38 mmol/L) โดยการทดลอง 1 ฉบับซึ่งมีทารกเข้าร่วม 22 ราย รายงานว่าไม่พบ การเสียชีวิตช่วงปริกำเนิด หรือ ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงช่วงปริกำเนิด ( หลักฐานถูกจัดอยู่ในระดับคุณภาพต่ำ สำหรับทั้งสองผลลัพธ์นี้ ) ในการศึกษาฉบับเดียวกันนี้ พบทารก มีความผิดปกติแต่กำเนิด 2 รายในกลุ่มที่ควบคุมระดับน้ำตาลอย่างเข้มงวดมาก และไม่พบเลยในกลุ่มที่ควบคุมระดับน้ำตาลอย่างเข้มงวดปานกลาง โดยไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในอัตรา การผ่าตัดคลอด ระหว่างกลุ่ม (อัตราส่วนความเสี่ยง (RR) 0.92, ช่วงความเชื่อมั่น 95% (CI) 0.49 ถึง 1.73; หลักฐานจัดอยู่ในระดับคุณภาพต่ำมาก ) ในการทดลองทั้ง 2 ฉบับนี้ พบว่าไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในระดับการควบคุมน้ำตาลในเลือดระหว่างกลุ่มที่ควบคุมอย่างเข้มงวดมาก กับกลุ่มที่ควบคุมแบบเข้มงวดปานกลาง ภายในไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม การทดลอง 1 ฉบับที่มีผู้เข้าร่วม 22 คน พบว่ากลุ่มที่ควบคุมแบบเข้มงวดปานกลางมี ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำในมารดา (maternal hypoglycaemia) น้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ
ในการทดลองที่มีหญิงตั้งครรภ์และทารกรวม 60 ราย ซึ่งเปรียบเทียบเป้าหมายการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดแบบเข้มงวด (≤ 5.6 mmol/L), แบบปานกลาง (5.6 ถึง 6.7 mmol/L) และแบบหละหลวม (6.7 ถึง 8.9 mmol/L) พบว่ามี การเสียชีวิตของทารกแรกเกิด (neonatal deaths) จำนวน 2 รายในกลุ่มควบคุมแบบหละหลวม และไม่พบในกลุ่มควบคุมแบบเข้มงวดหรือแบบปานกลาง ( หลักฐานจัดอยู่ในระดับคุณภาพต่ำมาก) เมื่อเปรียบเทียบกลุ่มที่ควบคุมระดับน้ำตาลแบบเข้มงวดและปานกลางรวมกัน กับกลุ่มที่ควบคุมแบบหละหลวม พบว่ามีจำนวนผู้หญิงที่มี ภาวะครรภ์เป็นพิษ น้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ( หลักฐานจัดอยู่ในระดับคุณภาพต่ำ) , มีการ ผ่าตัดคลอด น้อยกว่า ( หลักฐานจัดอยู่ในระดับคุณภาพต่ำ ) และมีจำนวน ทารกที่มีน้ำหนักแรกเกิดมากกว่าเปอร์เซ็นไทล์ที่ 90 น้อยกว่า ( หลักฐานจัดอยู่ในระดับคุณภาพต่ำ )
คุณภาพของหลักฐานถูกจัดให้อยู่ในระดับต่ำหรือระดับต่ำมากสำหรับผลลัพธ์ที่สำคัญ เนื่องจากข้อจำกัดด้านการออกแบบการศึกษา จำนวนผู้หญิงที่เข้าร่วมการศึกษามีน้อย และช่วงความเชื่อมั่นที่กว้างซึ่งคร่อมเส้นแสดงว่าไม่มีผล ผลลัพธ์ที่สำคัญหลายประการไม่ได้รับการรายงานในการศึกษาเหล่านี้
ข้อสรุปของผู้วิจัย
จากหลักฐานที่มีจำกัดมาก พบว่าผลลัพธ์มีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยระหว่างเป้าหมายการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดที่เข้มงวดมากและเข้มงวดถึงปานกลางในหญิงตั้งครรภ์ที่มีโรคเบาหวานประเภท 1 อยู่ก่อนแล้ว รวมถึงการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดที่ทำได้จริง มีหลักฐานบ่งชี้ถึงอันตราย (การเพิ่มขึ้นของภาวะครรภ์เป็นพิษ, การผ่าตัดคลอด และทารกที่มีน้ำหนักแรกเกิดมากกว่าเปอร์เซ็นไทล์ที่ 90) สำหรับการควบคุมที่ 'หละหลวม' (FBG สูงกว่า 7 mmol/L การวิจัยในอนาคตที่มุ่งเน้นการเปรียบเทียบรูปแบบการให้การดูแล (interventions) ต่างๆ แทนที่จะเปรียบเทียบเป้าหมายการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด อาจมีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติมากกว่า จำเป็นต้องมีการทดลองในหญิงตั้งครรภ์ที่มีโรคเบาหวานประเภท 2 อยู่แล้ว
ผู้แปล แพทย์หญิงชุติมา ชุณหะวิจิตร วันที่ 21 มิถุนายน 2025