จุดมุ่งหมายของการทบทวนนี้คืออะไร
จุดมุ่งหมายหลักของการทบทวนของ Cochrane คือการ ประเมินผลกระทบของการให้อาหารเสริมวิตามินเอแก่สตรีที่มีเชื้อเอชไอวีบวกในระหว่างตั้งครรภ์หรือหลังคลอด หรือในทั้งสองช่วง ที่มีความเสี่ยงของการส่งผ่านเชื้อเอชไอวีจากแม่ไปสู่ทารก นักวิจัยรวบรวม และตรวจสอบการศึกษาที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเพื่อตอบคำถามนี้ได้ห้าการทดลอง นี่คือการปรับปรุงการทบทวนที่ถูกเผยแพร่ในปี 2011
ข้อสำคัญของรีวิวนี้คืออะไร
การให้อาหารเสริมวิตามินเอแก่สตรีเอชไอวีบวกในระหว่างตั้งครรภ์หรือหลังคลอดหรือในทั้งสองช่วง อาจจะทำให้มีความแตกต่างเพียงเล็กน้อย หรือไม่มีความแตกต่างเลยในเรื่องความเสี่ยงของการส่งเอชไอวีจากแม่สู่ลูก (mother-to-child transmission) (หลักฐานความเชื่อมั่นปานกลาง)
ผลลัพธ์ของการทบทวนคืออะไร
มีห้าการทดลองที่ตรงตามเกณฑ์การศึกษาของการทบทวนนี้ สองการทดลองมาจากแอฟริกาใต้และมาจากมาลาวี แทนซาเนีย ซิมบับเวที่ละหนึ่งการทดลอง การทดลองเปรียบเทียบสตรีที่ได้รับอาหารเสริมวิตามินเอกับสตรีที่ไม่ได้รับอาหารเสริมดังกล่าว ไม่มีผู้เข้าร่วมการศึกษาคนใดได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส (ART)
การรีวิวแสดงในผู้หญิงที่ใช้ชีวิตกับเชื้อเอชไอวีและไม่ได้รับยา ART
-การให้อาหารเสริมวิตามินเอแก่สตรีเอชไอวีบวกในระหว่างตั้งครรภ์หรือหลังจากการคลอดทันทีหรือในทั้งสองช่วง อาจมีผลน้อยหรือไม่มีผลต่อความเสี่ยงของการส่งเอชไอวีจากแม่สู่ลูก(หลักฐานความเชื่อมั่นปานกลาง) และอาจมีผลน้อย หรือไม่มีผลต่อการตายของเด็กเมื่ออายุสองปี (หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ);
-การให้อาหารเสริมวิตามินเอแก่สตรีเอชไอวีบวกในระหว่างตั้งครรภ์อาจเพิ่มค่าเฉลี่ยของน้ำหนักแรกคลอด (หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ) และอาจลดจำนวนทารกน้ำหนักแรกคลอดต่ำ (หลักฐานความเชื่อมั่นปานกลาง) แต่ก็ไม่แน่ใจว่าการให้วิตมินเอมีผลต่อจำนวนเกิดคลอดบุตรก่อนกำหนด stillbirths หรือการตายของมารดา (หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำมาก)
การให้วิตามินเอได้ถูกแทนที่ด้วยยา ART ซึ่งสามารถใช้ได้อย่างกว้างขวาง และมีประสิทธิภาพในการป้องกันการส่งผ่านเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูก
การทบทวนนี้ทันสมัยอย่างไร
ผู้ประพันธ์การทบทวนสืบค้นการศึกษาจนถึง 25 สิงหาคม 2017
Read the full abstract
กลยุทธ์การลดความเสี่ยงของการส่งไวรัสเอชไอวี (HIV) จากแม่สู่ลูกของมนุษย์ได้แก่การรักษาด้วยยาต้านไวรัส (ART) ตลอดชีวิตสำหรับสตรีเอชไอวีบวก ให้นมลูกอย่างเดียวตั้งแต่แรกเกิดจนหกสัปดาห์ร่วมกับการให้ยา nevirapine หรือให้นมทดแทนร่วมกับการให้ยา nevirapine ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงสี่ถึงหกสัปดาห์ การวางแผนผ่าคลอดทางหน้าท้อง และหลีกเลี่ยงการให้เด็กเคี้ยวอาหาร ในบางพื้นที่ การให้การดูแลเหล่านี้อาจไม่เป็นประโยชน์ เป็นไปไม่ได้หรือแพง การดูแลที่ง่าย ราคาถูกและมีประสิทธิภาพ (ที่สามารถใช้ได้แม้ในกรณีไม่มีโปรแกรมการตรวจเอชไอวีก่อนคลอด) ควรถูกพิจารณา วิตามิน A ซึ่งมีบทบาทในการทำงานของภูมิคุ้มกัน เป็นการให้การดูแลที่ราคาถูกที่ถูกแนะนำในพื้นที่ดังกล่าว
วัตถุประสงค์
เพื่อประเมินผลของการให้อาหารเสริมวิตามิน A แก่สตรีเอชไอวีบวกระหว่างตั้งครรภ์ และหลังคลอด
วิธีการสืบค้น
เราค้นจาก Cochrane Central Register of Controlled Trials (CENTRAL), PubMed, Embase, and the World Health Organization International Clinical Trials Registry Platform (WHO ICTRP) up to 25 August 2017 และตรวจสอบรายการเอกสารอ้างอิงของบทความที่เกี่ยวข้องเพื่อรวมเข้าในการศึกษา
เกณฑ์การคัดเลือก
เรารวบรวมการศึกษาแบบ randomized controlled trials ที่ดำเนินการในทุกพื้นที่ที่เปรียบเทียบอาหารเสริมวิตามินเอกับยาหลอกหรือไม่ให้การรักษาใดในหมู่สตรีที่มีเอชไอวีบวกในระหว่างตั้งครรภ์ หรือหลังคลอดหรือในทั้งสองช่วง
การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล
ผู้ประพันธ์การทบทวนสองคนประเมินคุณสมบัติการศึกษา และดึงข้อมูลอย่างเป็นอิสระต่อกัน เราแสดงผลการศึกษาเป็นอัตราส่วนความเสี่ยง (RR) หรือค่าความแตกต่างของค่าเฉลี่ย (MD) ตามความเหมาะสม โดยมีค่าช่วงความเชื่อมั่น 95% (CI) และดำเนินการทำ random-effects meta-analyses การทบทวนครั้งนี้เป็นการปรับปรุงการทบทวนที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในปี 2011
ผลการวิจัย
มีห้าการทดลองที่เข้าเกณฑ์การศึกษา การศึกษาเหล่านี้ได้ดำเนินการในมาลาวี แอฟริกาใต้ แทนซาเนีย และประเทศไทยระหว่างปี 1995 ถึง 2005 และไม่มีผู้เข้าร่วมคนใดได้รับยา ART สตรีที่อยู่ในกลุ่มได้รับอาหารเสริมวิตามินเอได้รับในขนาดยาที่ต่างกัน(ทุกวันระหว่างตั้งครรภ์ ครั้งเดียวทันทีหลังคลอด หรือปริมาณรายวันระหว่างการตั้งครรภ์บวกครั้งเดียวหลังคลอด) สตรีที่อยู่ในกลุ่มเปรียบเทียบได้รับยาหลอกเหมือนกัน (สตรี 6601 ราย ใน 4 การทดลอง) หรือไม่ได้รับยา (สตรี 697 รายใน 1 การทดลอง) สี่การทดลอง (สตรี 6995 ราย) ที่มีความเสี่ยงของการมีอคติต่ำ และหนึ่งทดลอง (สตรี 303 ราย) ที่มีความเสี่ยงของการมีอคติสูงจากการขาดหายไปของกลุ่มตัวอย่าง (risk of attrition bias)
การศึกษาแสดงให้เห็นว่าการให้วิตามินเอแก่สตรีที่มีเอชไอวีบวกระหว่างตั้งครรภ์ หลังคลอดทันที หรือทั้งสองช่วงอาจมีผลน้อยหรือไม่มีผลต่อการส่งผ่านเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูก (RR 1.07, 95% CI 0.91 ถึง 1.26; สตรี 4428 ราย 5 การศึกษา หลักฐานความเชื่อมั่นปานกลาง) และอาจมีผลน้อยหรือไม่มีผลต่อการตายของเด็กอายุสองปี (RR 1.06, 95% CI 0.92 ถึง 1.22; สตรี 3883 ราย, 3 การศึกษา, หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ) อย่างไรก็ตามการให้อาหารเสริมวิตามินเอระหว่างการตั้งครรภ์อาจเพิ่มค่าเฉลี่ยน้ำหนักของทารกแรกเกิด (ค่าเฉลี่ยความแตกต่าง (MD) 34.12 g, 95% CI −12.79 ถึง 81.02; สตรี 2181 ราย, 3 การศึกษา, หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ) และอาจลดอุบัติการณ์ของทารกแรกคลอดน้ำหนักน้อย (RR 0.78, 95% CI 0.63 ถึง 0.97; สตรี1819ราย, 3 การศึกษา, หลักฐานความเชื่อมั่นปานกลาง); แต่ก็ไม่แน่ใจว่าการให้วิตมินเอมีผลต่อจำนวนเกิดคลอดบุตรก่อนกำหนด (สตรี 1577 ราย, 2 การศึกษา) stillbirths (สตรี 2335 ราย, 3 การศึกษา) หรือการตายของมารดา (สตรี 1267 ราย, 2การศึกษา)
ข้อสรุปของผู้วิจัย
การให้อาหารเสริมวิตามินเอในช่วงระหว่างตั้งครรภ์หรือหลังคลอดหรือทั้งสองช่วงอาจมีผลน้อยหรือไม่มีผลต่อการส่งผ่านเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูกในสตรีที่มีเชื้อเอชไอวีที่ไม่ได้รับยา ART การให้วิตามินเอได้ถูกแทนที่ด้วยยา ART ซึ่งสามารถใช้ได้อย่างกว้างขวาง และมีประสิทธิภาพในการป้องกันการส่งผ่านเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูก
ผู้แปล พญ.สุกัญญา ไชยราช ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น วันที่ 29 พฤศจิกายน 2017