ภาพทรวงอกวินิจฉัยโควิด -19 แม่นยำแค่ไหน

การแปลนี้ไม่ทันสมัย โปรด คลิกที่นี่ เพื่อดูฉบับภาษาอังกฤษล่าสุดของการทบทวนนี้

ทำไมคำถามนี้จึงมีความสำคัญ

ผู้ที่สงสัยว่าเป็น COVID-19 จำเป็นต้องทราบโดยเร็วว่าพวกเขาติดเชื้อหรือไม่เพื่อที่พวกเขาจะสามารถแยกตัว รับการรักษาและแจ้งผู้สัมผัสใกล้ชิดได้

ในปัจจุบันการวินิจฉัยอย่างเป็นทางการของการติดเชื้อ COVID-19 จำเป็นต้องมีการตรวจวิเคราะห์เลือดหรือตัวอย่างจมูกและลำคอในห้องปฏิบัติการ การตรวจในห้องปฏิบัติการเรียกว่า RT-PCR ต้องใช้เครื่องมือพิเศษ และใช้เวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมงเพื่อให้ได้ผล นอกจากนี้ RT-PCR ยังไม่ถูกต้องสมบูรณ์และอาจต้องใช้ RT-PCR ครั้งที่สองหรือการทดสอบอื่นเพื่อยืนยันการวินิจฉัย

COVID-19 เป็นโรคทางเดินหายใจ แพทย์ใช้การตรวจภาพทรวงอกเพื่อวินิจฉัยโรค COVID-19 ในระหว่างรอผลการทดสอบ RT-PCR หรือเมื่อผล RT-PCR เป็นลบและบุคคลนั้นมีอาการ COVID-19

เราต้องการค้นหาอะไร

เราต้องการทราบว่าภาพทรวงอกมีความแม่นยำเพียงพอที่จะวินิจฉัย COVID-19 ในผู้ที่สงสัยว่าติดเชื้อหรือไม่ นี่เป็นการอัปเดตครั้งแรกของการทบทวนนี้ เราได้รวมการศึกษาในผู้ที่สงสัยว่าจะเป็น COVID-19 เท่านั้น เราไม่รวมการศึกษาในผู้ที่ได้รับการยืนยัน COVID-19

หลักฐานจากการสืบค้นถึงวันที่ 22 มิถุนายน 2020

การตรวจภาพทรวงอกคืออะไร

การเอกซเรย์หรือการสแกนทำให้เกิดภาพของอวัยวะและโครงสร้างในทรวงอก

- รังสีเอกซ์ (การถ่ายภาพรังสี) ใช้รังสีจำนวนเล็กน้อยเพื่อสร้างภาพ 2 มิติ โดยปกติแล้วจะทำในโรงพยาบาลโดยใช้อุปกรณ์เดิมโดยผู้ถ่ายภาพบนฟิล์มเอ็กซเรย์สามารถทำได้บนเครื่องพกพา

- การตรวจวินิจฉัยโรคด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT) ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อรวมภาพเอกซเรย์ 2 มิติและแปลงเป็นภาพ 3 มิติ ต้องใช้อุปกรณ์ที่มีความเชี่ยวชาญสูง และต้องดำเนินการในโรงพยาบาลโดยนักถ่ายภาพรังสีที่เชี่ยวชาญ

- การสแกนอัลตร้าซาวด์ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อสร้างภาพ สามารถทำได้ในโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลอื่น ๆ เช่นคลินิกของแพทย์

เราได้ทำอะไร

เราสืบค้นการศึกษาที่ประเมินความแม่นยำของการถ่ายภาพทรวงอกเพื่อวินิจฉัยโรค COVID-19 ในผู้ที่สัยสัยว่าเป็น COVID-19 การศึกษาอาจมีรูปแบบและเกิดขึ้นที่ไหนก็ได้

เราพบอะไร

เราพบการศึกษา 34 เรื่องในบุคคล 9339 คน การศึกษาทั้งหมดยืนยันการติดเชื้อ SARS-CoV-2 โดยใช้ RT-PCR เพียงอย่างเดียวหรือ RT-PCR ร่วมกับการทดสอบอื่น

การศึกษาส่วนใหญ่ (31 การศึกษา ผู้เข้าร่วม 8014 คน) ประเมิน CT ทรวงอก; 3 การศึกษา ตรวจเอกซเรย์ทรวงอก (ผู้เข้าร่วม 1243 คน) และ 1 การศึกษา อัลตราซาวนด์ปอด (ผู้เข้าร่วม 100 คน) มี 19 การศึกษา ดำเนินการในเอเชีย มี 10 การศึกษาดำเนินการในยุโรป มี 4 การศึกษา ดำเนินการในอเมริกาเหนือ และอีก 1 การศึกษาดำเนินการในออสเตรเลีย ผู้เข้าร่วมเป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาล (24 การศึกษา) และผู้ป่วยนอก (4 การศึกษา) มี 6 การศึกษาที่ไม่ชัดเจนในเรื่องพื้นที่การศึกษา

ซึ่ง 4 การศึกษาขึ้นไป ประเมินการถ่ายภาพทรวงอกประเภทใดประเภทหนึ่ง เราได้รวบรวมผลลัพธ์และวิเคราะห์เข้าด้วยกัน

การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์บริเวณทรวงอก (Chest CT)

ผลการทดลองพบว่า การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์บริเวณทรวงอกวินิจฉัยโควิด -19 ได้อย่างถูกต้องใน 89.9% ของผู้ที่ติดเชื้อ COVID-19 อย่างไรก็ตาม พบ COVID-19 อย่างไม่ถูกต้องใน 38% ของผู้ที่ไม่ติดเชื้อ COVID-19

เอกซเรย์ทรวงอก

การวินิจฉัย COVID-19 อย่างถูกต้องด้วยรังสีเอกซ์ทรวงอกอยู่ในช่วง 57% ถึง 89% อย่างไรก็ตามการวินิจฉัย COVID-19 ที่ไม่ถูกต้องในผู้ที่ไม่มี COVID-19 มีตั้งแต่ 11% ถึง 89%

อัลตราซาวนด์ปอด

อัลตราซาวนด์ปอดวินิจฉัย COVID-19 ได้อย่างถูกต้องใน 96% ของผู้ที่ติดเชื้อ COVID-19 อย่างไรก็ตามการวินิจฉัย COVID-19 อย่างไม่ถูกต้องใน 38% ของผู้ที่ไม่ติดเชื้อ COVID-19

ความน่าเชื่อถือจากผลของการศึกษานี้เป็นอย่างไร

การศึกษาแตกต่างกันและใช้วิธีการที่แตกต่างกันในการรายงานผล การศึกษาจำนวน 1 ใน 4 ได้รับการตีพิมพ์เป็นแบบฉบับร่างหรือเป็นฉบับก่อนที่ตีพิมพ์ ซึ่งไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดเช่นเดียวกับการศึกษาที่ตีพิมพ์ เราไม่สามารถสรุปได้อย่างมั่นใจจากผลการศึกษาที่รวมอยู่ในการทบทวนวรรณกรรมนี้

หลักฐานนี้หมายความว่าอย่างไร

หลักฐานแสดงให้เห็นว่าการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์บริเวณทรวงอก สามารถวินิจฉัยการติดเชื้อ COVID-19 ได้ดีกว่าการแยกความแตกต่างจากปัญหาทางเดินหายใจอื่น ๆ ดังนั้นประโยชน์ของมันอาจถูก จำกัด ให้ยกเว้นการติดเชื้อ COVID-19 แทนที่จะแยกความแตกต่างจากสาเหตุอื่น ๆ ของการติดเชื้อในปอด

ความแม่นยำของการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์บริเวณทรวงอก ได้รับการปรับปรุงตั้งแต่การตรวจครั้งแรกอาจเป็นเพราะปัจจุบันนักรังสีวิทยาใช้คำจำกัดความที่ดีกว่าของการวินิจฉัยที่ให้ผลบวก ระยะของการแพร่ระบาดอาจมีผลเช่นกัน โดยการศึกษาในภายหลังซึ่งสร้างจากความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับมาก่อนหน้านี้

เราวางแผนที่จะปรับปรุงการทบทวนวรรณกรรมนี้เป็นประจำเมื่อมีการวิจัยเพิ่มเติม การศึกษาในอนาคตควรกำหนดไว้ล่วงหน้าว่าการทดสอบที่ให้ผลบวกคืออะไร และเปรียบเทียบการทดสอบภาพถ่ายประเภทต่างๆในกลุ่มคนที่คล้ายคลึงกัน

ข้อสรุปของผู้วิจัย: 

การค้นพบของเราบ่งชี้ว่า การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์บริเวณทรวงอกมีความไว แต่ไม่เฉพาะเจาะจงสำหรับการวินิจฉัย COVID-19 ในผู้ป่วยที่สงสัย ซึ่งหมายความว่า CT อาจไม่สามารถแยกความแตกต่างของการติดเชื้อ SARS-CoV-2 จากสาเหตุอื่น ๆ ของความเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับทางเดินหายใจ อย่างไรก็ตามเราไม่มั่นใจในผลลัพธ์เหล่านี้ เนื่องจากคุณภาพการศึกษาที่ไม่ดีและความแตกต่างของการศึกษาที่รวบรวมมา เนื่องจากข้อมูลที่จำกัด จึงควรตีความการประมาณค่าความแม่นยำของเอกซเรย์ทรวงอกและอัลตราซาวนด์ของปอดสำหรับการวินิจฉัย COVID-19 อย่างรอบคอบ

การศึกษาความแม่นยำในการวินิจฉัยในอนาคตควรกำหนด ผล positive imaging ไว้ล่วงหน้า รวมถึงการเปรียบเทียบโดยตรงของรูปแบบต่างๆ ที่น่าสนใจในกลุ่มประชากรผู้เข้าร่วมกลุ่มเดียวกัน และใช้แนวทางการรายงานที่ได้รับการปรับปรุง แผนการปรับปรุงการทบทวนวรรณกรรมนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ: เพิ่มความเที่ยงในการประมาณค่าความแม่นยำสำหรับการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์บริเวณทรวงอก (ที่ดีคือ ใช้การศึกษาที่มีความเสี่ยงของการมีอคติต่ำ) หาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อบอกความแม่นยำของรังสีเอกซ์ทรวงอก และอัลตราซาวนด์ และค้นหาการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อตอบวัตถุประสงค์รอง เพื่อบอกถึงประโยชน์ของการตรวจจากภาพถ่ายตามเส้นทางการวินิจฉัยที่แตกต่างกัน

อ่านบทคัดย่อฉบับเต็ม
บทนำ: 

ความเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับทางเดินหายใจที่เกิดจากการติดเชื้อ SARS-CoV-2 ยังคงมีความท้าทายในการวินิจฉัย การวิจัยเบื้องต้นพบว่าการถ่ายภาพทรวงอก (ทรวงอก) มีความอ่อนไหว แต่ไม่เฉพาะเจาะจงในการวินิจฉัยโรคโคโรนาไวรัส 2019 (COVID-19) อย่างไรก็ตามนี่เป็นสาขาที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว และการค้นพบเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการประเมินอีกครั้งในแง่ของการวิจัยใหม่ การศึกษาครั้งนี้เป็นการปรับปรุงการทบทวนครั้งแรก การอัปเดตนี้มุ่งเน้นไปที่ผู้ที่สงสัยว่ามี COVID-19 และไม่รวมการศึกษาที่มีผู้เข้าร่วมที่ยืนยันแล้วว่าติดเชื้อ COVID-19

วัตถุประสงค์: 

เพื่อตรวจสอบความแม่นยำในการวินิจฉัยของภาพทรวงอก (การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT), เอกซเรย์และอัลตราซาวนด์) ในผู้ที่สงสัยว่าติดเชื้อ COVID-19

วิธีการสืบค้น: 

เราสืบค้นฐานข้อมูลใน the COVID‐19 Living Evidence Database จากมหาวิทยาลัยเบิร์น, the Cochrane COVID‐19 Study Register, The Stephen B. Thacker CDC Library, และ repositories of COVID‐19 ที่ได้รับการตีพิมพ์จนถึงวันที่ 22 มิถุนายน 2020 ไม่มีข้อจำกัดด้านภาษา

เกณฑ์การคัดเลือก: 

เราได้รวมการศึกษาทุกรูปแบบที่คัดเลือกผู้เข้าร่วมในทุกกลุ่มอายุที่สงสัยว่ามี COVID-19 และรายงานการประมาณค่าความแม่นยำในการทดสอบหรือให้ข้อมูลที่สามารถคำนวณค่าประมาณได้ เมื่อการศึกษาใช้มาตรฐานอ้างอิงที่หลากหลายเรายังคงจำแนกผู้เข้าร่วมที่ผลการตรวจ COVID-19 เป็นบวกหรือลบตามที่ใช้ในการศึกษา

การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล: 

เราคัดกรองการศึกษา ดึงข้อมูล และประเมินความเสี่ยงของการมีอคติ และข้อกังวลในการบังคับใช้ โดยใช้ QUADAS‐2 domain-list อย่างอิสระต่อกัน เราจัดหมวดหมู่การศึกษาที่รวมไว้เป็น 3 กลุ่มตามการจำแนกประเภทของ index test: การศึกษาที่รายงานเกณฑ์เฉพาะสำหรับ index test positivity (กลุ่มที่ 1); การศึกษาที่ไม่ได้รายงานเกณฑ์เฉพาะ แต่ให้ผู้อ่านผลทดสอบจำแนกผลการทดสอบจากภาพถ่ายว่า COVID-19 เป็นผลบวกหรือลบ (กลุ่มที่ 2) และการศึกษาที่รายงานภาพรวมของ index test โดยไม่ได้จำแนกจากภาพถ่ายว่าเป็น COVID-19 ผลบวกหรือผลลบ (กลุ่มที่ 3) เรานำเสนอผลลัพธ์ของความไวและความจำเพาะโดยประมาณโดยใช้ paired forest plots และทำตารางสรุป เราใช้ bivariate meta‐analysis model เรานำเสนอความไม่แน่นอนของค่าประมาณความถูกต้องโดยใช้ช่วงความเชื่อมั่น 95% (CIs)

ผลการวิจัย: 

เรารวบรวมการศึกษาจำนวน 34 เรื่อง: เป็นการศึกษาแบบภาคตัดขวาง จำนวน 30 การศึกษา มีผู้เข้าร่วม 8491 คนที่สงสัยว่าเป็น COVID-19 ซึ่ง 4575 (54%) ได้รับการวินิจฉัยขั้นสุดท้ายว่าเป็น COVID-19; 4 การศึกษาเป็นแบบ case-control studies มีขนาดตัวอย่างทั้งหมด 848 คน โดย 464 (55%) มีการวินิจฉัยขั้นสุดท้ายว่าเป็น COVID-19 การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์บริเวณทรวงอก ได้รับการประเมินใน 31 การศึกษา (ผู้เข้าร่วม 8014 คน, 4224 (53%) cases), เอกซเรย์ทรวงอกใน 3 การศึกษา (ผู้เข้าร่วม 1243 คน, 784 (63%) cases) และอัลตราซาวนด์ของปอดใน 1 การศึกษา (ผู้เข้าร่วม 100 คน, 31 (31%) cases)

26 เปอร์เซ็นต์ (9/34) ของการศึกษาทั้งหมดเป็นแบบฉบับร่างหรือเป็นฉบับก่อนที่ตีพิมพ์ มี 19 การศึกษา ดำเนินการในเอเชีย มี 10 การศึกษาดำเนินการในในยุโรป มี 4 การศึกษาดำเนินการในอเมริกาเหนือและอีก 1 การศึกษาดำเนินการออสเตรเลีย มี 16 การศึกษาที่มีเฉพาะผู้ใหญ่ มี 15 การศึกษาที่มีทั้งผู้ใหญ่และเด็ก และอีก 1 การศึกษา ที่มีเฉพาะเด็กเท่านั้น มี 2 การศึกษา ไม่ได้รายงานอายุของผู้เข้าร่วม มี 24 การศึกษา ที่รวมผู้ป่วยใน มี 4 การศึกษา รวมผู้ป่วยนอก ในขณะที่การศึกษาที่เหลืออีก 6 การศึกษา ดำเนินการในสภาพแวดล้อมที่ไม่ชัดเจน การศึกษาที่รวมไว้ส่วนใหญ่มีความเสี่ยงของการมีอคติสูงหรือไม่ชัดเจนเกี่ยวกับการเลือกผู้เข้าร่วมการทดสอบ มาตรฐานอ้างอิง และกระบวนการเข้าร่วมโครงการวิจัย

สำหรับการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์บริเวณทรวงอกในผู้เข้าร่วมที่สงสัยว่าเป็น COVID-19 (31 การศึกษา ผู้เข้าร่วม 8014 คน 4224 (53%) cases) ความไวอยู่ในช่วง 57.4% ถึง 100% และความจำเพาะอยู่ระหว่าง 0% ถึง 96.0% ความไวร่วมกันของการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์บริเวณทรวงอกในผู้เข้าร่วมที่สงสัยว่าเป็น COVID-19 คือ 89.9% (95% CI 85.7 ถึง 92.9) และความจำเพาะร่วมกันคือ 61.1% (95% CI 42.3 ถึง 77.1)

การวิเคราะห์ความไวแสดงให้เห็นว่าเมื่อไม่รวมการศึกษาจากประเทศจีน การศึกษาจากประเทศอื่น ๆ แสดงให้เห็นถึงความจำเพาะที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับการศึกษาโดยรวม เมื่อนำการศึกษาที่ไม่ได้จัดประเภท index tests ว่าเป็นบวกหรือลบสำหรับ COVID-19 (กลุ่ม 3) ออก การศึกษาที่เหลือ (กลุ่มที่ 1 และ 2) แสดงให้เห็นถึงความจำเพาะที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับการศึกษาโดยรวม การวิเคราะห์ความไวจำกัด เฉพาะการศึกษาแบบตัดขวาง หรือการศึกษาที่มีการทดสอบปฏิกิริยา reverse transcriptase polymerase chain reaction อย่างน้อย 2 ครั้ง หากครั้งแรกเป็นค่าลบไม่ได้เปลี่ยนแปลงค่าประมาณความแม่นยำอย่างมีนัยสำคัญ เราไม่พบว่าสถานะการเผยแพร่เป็นแหล่งที่มาของความแตกต่างกัน (heterogeneity)

สำหรับการเอกซเรย์ทรวงอกในผู้เข้าร่วมที่สงสัยว่าเป็น COVID-19 (3 การศึกษา ผู้เข้าร่วม 1243 คน 784 (63%) คน เป็น COVID-19) ความไวอยู่ระหว่าง 56.9% ถึง 89.0% และความจำเพาะจาก 11.1% ถึง 88.9% ความไวและความจำเพาะของอัลตราซาวนด์ของปอดในผู้เข้าร่วมที่สงสัยว่าเป็น COVID-19 (1 การศึกษา ผู้เข้าร่วม 100 คน 31 (31%) คน เป็น COVID-19) เท่ากับ 96.8% และ 62.3% ตามลำดับ เราไม่สามารถทำการวิเคราะห์อภิมานสำหรับเอกซเรย์ทรวงอก หรืออัลตร้าซาวด์ได้เนื่องจากมีจำนวนการศึกษาจำกัด

บันทึกการแปล: 

แปลโดย ศ.นพ.ภิเศก ลุมพิกานนท์ ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 5 ตุลาคม 2020