มาตรการทางกายภาพ เช่น การล้างมือหรือการสวมหน้ากากช่วยหยุดหรือชะลอการแพร่กระจายของไวรัสทางเดินหายใจหรือไม่

ข้อความสำคัญ
เราไม่แน่ใจว่าการสวมหน้ากากอนามัยหรือเครื่องช่วยหายใจ N95/P2 ช่วยชะลอการแพร่กระจายของไวรัสทางเดินหายใจหรือไม่ ตามการศึกษาที่เราประเมิน

โปรแกรมสุขอนามัยของมืออาจช่วยชะลอการแพร่กระจายของไวรัสทางเดินหายใจ

ไวรัสทางเดินหายใจแพร่กระจายได้อย่างไร
ไวรัสทางเดินหายใจคือไวรัสที่ทำให้เซลล์ในทางเดินหายใจของคุณติดเชื้อ: จมูก คอ และปอด การติดเชื้อเหล่านี้อาจทำให้เกิดปัญหาร้ายแรงและส่งผลต่อการหายใจตามปกติ อาจทำให้เกิดไข้หวัด (ไข้หวัดใหญ่) โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (SARS) และ COVID-19

ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสทางเดินหายใจจะแพร่อนุภาคไวรัสไปในอากาศเมื่อไอหรือจาม คนอื่นจะติดเชื้อหากสัมผัสกับอนุภาคไวรัสเหล่านี้ในอากาศหรือบนพื้นผิวที่มีเชื้ออยู่ ไวรัสทางเดินหายใจสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วผ่านชุมชน ประชากร และเกิดการระบาดในระดับประเทศ (epidemics) และการระบาดใหญ่ทั่วโลก (pandemics)

มาตรการทางกายภาพเพื่อพยายามป้องกันไวรัสทางเดินหายใจที่แพร่กระจายระหว่างคน ได้แก่ :

· ล้างมือบ่อยๆ

· ไม่สัมผัสตา จมูก ปาก

· จามหรือไอใส่ข้อศอก

· เช็ดพื้นผิวด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ

· สวมหน้ากาก อุปกรณ์ป้องกันดวงตา ถุงมือ และชุดป้องกัน

· หลีกเลี่ยงการติดต่อกับผู้อื่น (แยกหรือกักบริเวณ)

· รักษาระยะห่างจากผู้อื่น (distancing) และ

· การตรวจผู้ที่เดินทางเข้าประเทศเพื่อหาสัญญาณของการติดเชื้อ (การคัดกรอง)

เราต้องการค้นหาอะไร
เราต้องการทราบว่ามาตรการทางกายภาพหยุดหรือชะลอการแพร่กระจายของไวรัสระบบทางเดินหายใจจากการศึกษาที่มีการควบคุมอย่างดีซึ่งเปรียบเทียบวิธีการหนึ่งกับอีกวิธีหนึ่ง หรือที่เรียกว่าการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม

เราทำอะไร
เราค้นหาการศึกษาแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุมซึ่งพิจารณามาตรการทางกายภาพเพื่อหยุดผู้คนในการรับเชื้อไวรัสระบบทางเดินหายใจ

เราสนใจว่ามีคนจำนวนเท่าใดในการศึกษาที่ติดเชื้อไวรัสทางเดินหายใจ และดูว่ามาตรการทางกายภาพมีผลที่ไม่พึงประสงค์หรือไม่

เราพบอะไร
เราพบการศึกษาที่เกี่ยวข้อง 78 ฉบับ เกิดขึ้นในประเทศที่มีรายได้ต่ำ ปานกลาง และสูงทั่วโลก: ในโรงพยาบาล โรงเรียน บ้าน สำนักงาน ศูนย์ดูแลเด็ก และชุมชนในช่วงที่ไข้หวัดใหญ่ไม่ระบาด ไข้หวัดใหญ่ H1N1 ระบาดทั่วโลกในปี 2009 ไข้หวัดใหญ่ระบาดตามฤดูกาล ถึงปี 2016 และในช่วงการระบาดของ COVID-19 เราพบการศึกษาที่กำลังดำเนินการอยู่ 5 ฉบับที่ยังไม่ได้ตีพิมพ์ 2 ฉบับประเมินหน้ากากใน COVID-19 การทดลองห้าเรื่องได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาลและบริษัทยา และเก้าเรื่องได้รับทุนสนับสนุนจากบริษัทยา

ไม่มีการศึกษาใดที่พิจารณาถึงกระบังหน้า เสื้อกาวน์ และถุงมือ หรือการคัดกรองผู้คนเมื่อเดินทางเข้าประเทศ

เราได้ประเมินผลกระทบของ:

· หน้ากากทางการแพทย์หรือศัลยกรรม;

· เครื่องช่วยหายใจ N95/P2 (หน้ากากแบบแนบสนิทที่กรองอากาศที่หายใจเข้า ซึ่งใช้กันทั่วไปโดยบุคลากรทางการแพทย์มากกว่าประชาชนทั่วไป) และ

· สุขอนามัยของมือ (การล้างมือและใช้เจลทำความสะอาดมือ)

เราได้รับผลลัพธ์ดังต่อไปนี้:

หน้ากากทางการแพทย์หรือศัลยกรรม

การศึกษา 10 ฉบับทำในชุมชน และการศึกษา 2 ฉบับในบุคลากรทางการแพทย์ เมื่อเทียบกับการไม่สวมหน้ากากอนามัยในการศึกษาในชุมชนเท่านั้น การสวมหน้ากากอาจสร้างความแตกต่างเล็กน้อยหรือไม่มีความแตกต่างในจำนวนผู้ที่ป่วยด้วยโรคคล้ายไข้หวัด/โรคคล้ายโควิด (การศึกษา 9 ฉบับ 276,917 คน) และอาจสร้างความแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยในจำนวนผู้ที่ได้รับการยืนยันไข้หวัด/โควิดโดยการทดสอบในห้องปฏิบัติการ (การศึกษา 6 ฉบับ; 13,919 คน) ไม่ค่อยมีรายงานผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ มีการกล่าวถึงความไม่สบาย

หน้ากากอนามัยแบบ N95/P2

มีการศึกษา 4 ฉบับในบุคลากรทางการแพทย์ และการศึกษาขนาดเล็ก 1 ฉบับในชุมชน เมื่อเทียบกับการสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากอนามัย การสวมหน้ากากอนามัย N95/P2 อาจสร้างความแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีความแตกต่างในจำนวนผู้ที่ได้รับการยืนยันว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ (การศึกษา 5 ฉบับ; 8407 คน); และอาจสร้างความแตกต่างเล็กน้อยหรือไม่มีความแตกต่างในจำนวนผู้ที่ป่วยด้วยโรคคล้ายไข้หวัดใหญ่ (การศึกษา 5 ฉบับ, 8407 คน) หรือความเจ็บป่วยทางเดินหายใจ (การศึกษา 3 ฉบับ, 7799 คน) ผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ไม่ได้รับการรายงานอย่างดี ได้กล่าวถึงความไม่สบาย

สุขอนามัยของมือ

การปฏิบัติตามโปรแกรมสุขอนามัยของมืออาจลดจำนวนผู้ที่ป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจหรือคล้ายไข้หวัดใหญ่ หรือโรคที่ได้รับการยืนยันว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติตามโปรแกรมดังกล่าว (การศึกษา 19 ฉบับ; 71,210 คน) แม้ว่าผลกระทบนี้จะไม่ได้รับการยืนยันเนื่องจากมีการลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อวิเคราะห์ ILI และ ILI ที่ยืนยันในห้องปฏิบัติการแยกจากกัน มีงานวิจัยไม่กี่ฉบับที่วัดผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ มีการกล่าวถึงการระคายเคืองผิวหนังในผู้ที่ใช้เจลทำความสะอาดมือ

ข้อจำกัด ของหลักฐานคืออะไร
โดยทั่วไป ความเชื่อมั่นของเราในผลลัพธ์เหล่านี้อยู่ในระดับต่ำถึงปานกลางสำหรับผลลัพธ์เชิงอัตนัยที่เกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วยทางเดินหายใจ แต่อยู่ในระดับปานกลางสำหรับการติดเชื้อไวรัสทางเดินหายใจที่ได้รับการยืนยันจากห้องปฏิบัติการที่กำหนดไว้อย่างแม่นยำมากขึ้น ซึ่งเกี่ยวข้องกับหน้ากากอนามัยและเครื่องช่วยหายใจ N95/P2 ผลลัพธ์อาจเปลี่ยนแปลงเมื่อมีหลักฐานเพิ่มเติม ผู้คนจำนวนค่อนข้างน้อยปฏิบัติตามคำแนะนำเกี่ยวกับการสวมหน้ากากหรือเกี่ยวกับสุขอนามัยของมือ ซึ่งอาจส่งผลต่อผลการศึกษา

หลักฐานนี้ทันสมัยแค่ไหน
เรารวมหลักฐานที่เผยแพร่จนถึงเดือนตุลาคม 2022

ข้อสรุปของผู้วิจัย: 

ความเสี่ยงสูงของการเกิดอคติในการทดลอง ความผันแปรของการวัดผลลัพธ์ และการปฏิบัติตามวิธีการที่ใช้ (intervention) ในระหว่างการศึกษาค่อนข้างต่ำขัดขวางการสรุปผลที่แน่นอน มี RCTs เพิ่มเติมระหว่างการแพร่ระบาดที่เกี่ยวข้องกับการแทรกแซงทางกายภาพ แต่มักขาดการให้ความสำคัญกับคำถามของการสวมหน้ากากและประสิทธิภาพสัมพัทธ์ของมัน และมาตรการร่วมกันในวัดการปฏิบัติตามการใส่หน้ากากซึ่งจะเกี่ยวข้องอย่างมากกับการวัดประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูงอายุและ ในเด็กเล็ก

มีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลกระทบของการใส่หน้ากาก หลักฐานที่มีความน่าเชื่อถือในระดับต่ำถึงปานกลาง ทำให้เราไม่ค่อยเชื่อมั่นค่าประมาณของผลกระทบที่ได้ และผลกระทบที่แท้จริงอาจแตกต่างจากที่ประมาณการไว้ ผลรวมของ RCTs ไม่ได้แสดงให้เห็นการลดลงอย่างชัดเจนของการติดเชื้อไวรัสทางเดินหายใจด้วยการใช้หน้ากากทางการแพทย์/ศัลยกรรม ไม่มีความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างการใช้หน้ากากทางการแพทย์/หน้ากากอนามัยเมื่อเทียบกับเครื่องช่วยหายใจ N95/P2 ในบุคลากรทางการแพทย์เมื่อใช้ในการดูแลตามปกติเพื่อลดการติดเชื้อไวรัสทางเดินหายใจ สุขอนามัยของมือมีแนวโน้มที่จะลดภาระของการเจ็บป่วยทางเดินหายใจได้พอประมาณ และแม้ว่าผลกระทบนี้จะเกิดขึ้นเช่นกันเมื่อวิเคราะห์ ILI และไข้หวัดใหญ่ที่ได้รับการยืนยันจากห้องปฏิบัติการแยกจากกัน แต่ก็ไม่พบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญสำหรับผลลัพธ์ 2 รายการหลัง อันตรายที่เกี่ยวข้องกับวิธีการทางกายภาพ (physical interventions) อยู่ภายใต้การตรวจสอบ

มีความจำเป็นสำหรับ RCTs ขนาดใหญ่ที่ออกแบบอย่างดี โดยเน้นย้ำถึงประสิทธิผลของการแทรกแซงเหล่านี้ในหลายบริบทและประชากร รวมถึงผลกระทบของการปฏิบัติตามวิธีการแทรกแซงต่อประสิทธิผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อ ARIs มากที่สุด

อ่านบทคัดย่อฉบับเต็ม
บทนำ: 

การแพร่ระบาดของไวรัสหรือการระบาดของโรคติดเชื้อทางเดินหายใจเฉียบพลัน (ARI) เป็นภัยคุกคามระดับโลก ตัวอย่าง ได้แก่ ไข้หวัดใหญ่ (H1N1) ที่เกิดจากไวรัส H1N1pdm09 ในปี 2009 กลุ่มอาการทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (SARS) ในปี 2003 และโรคไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่เกิดจาก SARS-CoV-2 ในปี 2019 ยาต้านไวรัสและวัคซีนอาจไม่เพียงพอที่จะป้องกันการแพร่กระจาย นี่คือการปรับปรุงของ Cochrane Review ที่เผยแพร่ครั้งล่าสุดในปี 2020 เรารวมผลลัพธ์จากการศึกษาจากการระบาดของ COVID-19 ในปัจจุบัน

วัตถุประสงค์: 

เพื่อประเมินประสิทธิผลของการแทรกแซงทางกายภาพเพื่อขัดขวางหรือลดการแพร่กระจายของไวรัสทางเดินหายใจเฉียบพลัน

วิธีการสืบค้น: 

เราค้นหา CENTRAL, PubMed, Embase, CINAHL และการลงทะเบียนการทดลองสองรายการในเดือนตุลาคม 2022 ด้วยการวิเคราะห์การอ้างอิงย้อนหลังและไปข้างหน้าในการศึกษาใหม่

เกณฑ์การคัดเลือก: 

เรารวมการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม (RCTs) และ cluster-RCTs เพื่อตรวจสอบวิธีการทางกายภาพ (การคัดกรองที่ช่องทางเข้า การแยก การกักกัน การเว้นระยะห่างทางกายภาพ การป้องกันส่วนบุคคล สุขอนามัยของมือ หน้ากาก แว่นตา และการกลั้วคอ) เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไวรัสทางเดินหายใจ

การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล: 

เราใช้ระเบียบวิธีมาตรฐานของ Cochrane

ผลการวิจัย: 

เรารวม RCT และ cluster-RCTs ใหม่ 11 ฉบับ (ผู้เข้าร่วม 610,872 คน) ในการอัปเดตนี้ ทำให้จำนวน RCT รวมเป็น 78 ฉบับ การทดลองใหม่ 6 ฉบับดำเนินการในช่วงการระบาดของ COVID-19; 2 ฉบับ มาจากเม็กซิโก และอย่างละเรื่องจากเดนมาร์ก บังกลาเทศ อังกฤษ และนอร์เวย์ เราพบการศึกษาที่กำลังดำเนินการอยู่ 4 ฉบับ ซึ่งหนึ่งในนั้นเสร็จสมบูรณ์แต่ยังไม่ได้รายงาน โดยประเมินหน้ากากที่เกิดขึ้นพร้อมกับการแพร่ระบาดของ COVID-19

การศึกษาจำนวนมากดำเนินการในช่วงที่ไข้หวัดใหญ่ไม่ระบาด หลายเรื่องดำเนินการในช่วงการระบาดใหญ่ของไข้หวัดใหญ่ H1N1 ปี 2009 และเรื่องอื่น ๆ ในฤดูกาลระบาดของไข้หวัดใหญ่จนถึงปี 2016 ดังนั้น การศึกษาจึงดำเนินการในบริบทของการแพร่กระจายของไวรัสทางเดินหายใจส่วนล่าง เปรียบเทียบกับ COVID-19 การศึกษาที่รวบรวม ได้ดำเนินการในสถานที่ที่แตกต่างกัน ตั้งแต่โรงเรียนในเขตชานเมือง ไปจนถึงหอผู้ป่วยในโรงพยาบาลในประเทศที่มีรายได้สูง เมืองชั้นในที่มีความแออัดในประเทศที่มีรายได้ต่ำ และย่านผู้อพยพในประเทศที่มีรายได้สูง การศึกษาหลายฉบับมีการปฏิบัติตามวิธีการในระดับต่ำ

ความเสี่ยงของการมีอคติสำหรับ RCT และ Cluster-RCT ส่วนใหญ่สูงหรือไม่ชัดเจน

หน้ากากทางการแพทย์/ศัลยกรรมเปรียบเทียบกับไม่มีหน้ากาก

เรารวบรวมการทดลอง 12 ฉบับ (cluster-RCTs 10 ฉบับ) เปรียบเทียบหน้ากากทางการแพทย์/ศัลยกรรมกับไม่สวมหน้ากากเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสทางเดินหายใจ (การทดลอง 2 ฉบับ กับบุคลากรทางการแพทย์ และ 10 ฉบับในชุมชน) การสวมหน้ากากอนามัยในชุมชนอาจสร้างความแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยกับผลลัพธ์ของการเจ็บป่วยที่คล้ายไข้หวัดใหญ่ (ILI)/COVID-19 เมื่อเทียบกับการไม่สวมหน้ากาก (อัตราส่วนความเสี่ยง (RR) 0.95 ช่วงความเชื่อมั่น 95% (CI) 0.84 ถึง 1.09; การทดลอง 9 ฉบับ ผู้เข้าร่วม 276,917 คน หลักฐานมีความเชื่อมั่นปานกลาง การสวมหน้ากากในชุมชนอาจสร้างความแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยกับผลลัพธ์ของไข้หวัดใหญ่/SARS-CoV-2 ที่ได้รับการยืนยันจากห้องปฏิบัติการเมื่อเปรียบเทียบกับการไม่สวมหน้ากาก (RR 1.01, 95% CI 0.72 ถึง 1.42; การทดลอง 6 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 13,919 คน; หลักฐานมีความเชื่อมั่นปานกลาง) แทบไม่มีการประเมินผลลัพธ์ที่เป็นอันตรายและการรายงานผลลัพธ์ก็ทำได้ไม่ดี

หน้ากากหายใจ N95/P2 เทียบกับหน้ากากทางการแพทย์/ศัลยกรรม

เรารวบรวมการทดลองเปรียบเทียบหน้ากากหายใจ N95/P2 กับหน้ากากทางการแพทย์/ศัลยกรรม (การทดลอง 4 ฉบับ ดำเนินการในสถานพยาบาลและอีก 1 ฉบับ ดำเนินการในครัวเรือน) มีความไม่แน่นอนอย่างมากเกี่ยวกับผลกระทบของเครื่องช่วยหายใจ N95/P2 เมื่อเทียบกับหน้ากากทางการแพทย์/ศัลยกรรมต่อผลลัพธ์ของการเจ็บป่วยทางคลินิกเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ (RR 0.70, 95% CI 0.45 ถึง 1.10; การทดลอง 3 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 7779 คน; หลักฐานมีความเชื่อมั่นต่ำมาก) เครื่องช่วยหายใจ N95/P2 เมื่อเปรียบเทียบกับหน้ากากทางการแพทย์/ศัลยกรรมอาจมีประสิทธิภาพสำหรับ ILI (RR 0.82, 95% CI 0.66 ถึง 1.03; การทดลอง 5 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 8407 คน; หลักฐานมีความเชื่อมั่นต่ำ) หลักฐานถูกจำกัดด้วยความไม่แม่นยำและความแตกต่างสำหรับผลลัพธ์ที่เป็นอัตนัยเหล่านี้ การสวมหน้ากากอนามัยแบบ N95/P2 เปรียบเทียบกับ การสวมหน้ากากอนามัยทางการแพทย์หรือหน้ากากที่ใช้สวมในขณะผ่าตัด อาจสร้างความแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือไม่แตกต่างกันเลยต่อผลลัพธ์ที่ใช้ตัวชี้วัดที่ชัดเจนและความแม่นยำของการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ที่ได้รับการยืนยันจากห้องปฏิบัติการ (RR 1.10, 95% CI 0.90 ถึง 1.34; หลักฐานมีความเชื่อมั่นในระดับปานกลาง; การศึกษา 5 ฉบับ; ผู้เข้าร่วม 8407 คน) การจำกัดการวิเคราะห์ข้อมูลโดยรวมผลการศึกษาจากเฉพาะกลุ่มของบุคลากรทางการแพทย์ไม่ได้สร้างความแตกต่างกับผลการวิเคราะห์ในภาพรวม การวัดและรายงานอันตรายได้ไม่ดี แต่มีการกล่าวถึงความรู้สึกไม่สบายขณะสวมหน้ากากทางการแพทย์/ศัลยกรรมหรือเครื่องช่วยหายใจ N95/P2 ในการศึกษาหลายฉบับ (หลักฐานมีความเชื่อมั่นต่ำมาก)

ก่อนหน้านี้รายงาน RCT ที่กำลังดำเนินอยู่ 1 ฉบับ ได้รับการตีพิมพ์แล้วและสังเกตว่าหน้ากากทางการแพทย์/ศัลยกรรมนั้นไม่ด้อยไปกว่าเครื่องช่วยหายใจ N95 ในการศึกษาขนาดใหญ่ของบุคลากรทางการแพทย์ 1009 คนใน 4 ประเทศที่ให้การดูแลผู้ป่วย COVID-19 โดยตรง

สุขอนามัยของมือเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม

การทดลอง 19 ฉบับเปรียบเทียบการดูแลสุขอนามัยของมือกับกลุ่มควบคุมมีข้อมูลเพียงพอที่จะรวมไว้ในการวิเคราะห์เมตต้า สถานที่ที่ศึกษารวมโรงเรียน ศูนย์เลี้ยงเด็ก และบ้าน เมื่อเปรียบเทียบการดูแลสุขอนามัยของมือกับกลุ่มควบคุม (เช่น ไม่มีการแทรกแซง) จำนวนผู้ที่มี ARIs ในกลุ่มสุขอนามัยมือลดลง 14% (RR 0.86, 95% CI 0.81 ถึง 0.90; การทดลอง 9 ฉบับ ผู้เข้าร่วม 52,105 คน หลักฐานที่มีความเชื่อมั่นปานกลาง) บอกถึงประโยชน์ที่น่าจะเป็นไปได้ ในแง่สัมบูรณ์ ผลประโยชน์นี้จะส่งผลให้ลดลงจาก 380 เหตุการณ์ต่อ 1000 คนเป็น 327 ต่อ 1000 คน (95% CI 308 ถึง 342) เมื่อพิจารณาผลลัพธ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้นของ ILI และไข้หวัดใหญ่ที่ยืนยันจากห้องปฏิบัติการ การประมาณผลกระทบสำหรับ ILI (RR 0.94, 95% CI 0.81 ถึง 1.09; การทดลอง 11 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 34,503 คน; หลักฐานมีความเชื่อมั่นต่ำ) และไข้หวัดใหญ่ที่ยืนยันจากห้องปฏิบัติการ (RR 0.91, 95% CI 0.63 ถึง 1.30; การทดลอง 8 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 8332 คน; หลักฐานมีความเชื่อมั่นต่ำ) ชี้แนะว่าวิธีการที่ใช้ (intervention) สร้างความแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย เรารวบรวมการทดลอง 19 ฉบับ (ผู้เข้าร่วม 71, 210 คน) สำหรับผลรวมของ ARI หรือ ILI หรือไข้หวัดใหญ่ โดยแต่ละการศึกษาให้ผลเพียงครั้งเดียวและรายงานผลลัพธ์ที่ครอบคลุมที่สุด ข้อมูลที่รวมรวมแสดงให้เห็นว่าสุขอนามัยของมืออาจมีประโยชน์โดยลดลงสัมพัทธ์ 11% ของการเจ็บป่วยทางเดินหายใจ (RR 0.89, 95% CI 0.83 ถึง 0.94; หลักฐานที่มีความเชื่อมั่นต่ำ) แต่มีความหลากหลายสูง ในแง่สัมบูรณ์ ผลประโยชน์นี้จะส่งผลให้ลดลงจาก 200 เหตุการณ์ต่อ 1000 คนเป็น 178 ต่อ 1000 คน (95% CI 166 ถึง 188) มีการทดลองไม่กี่เรื่องที่วัดและรายงานอันตราย (หลักฐานมีความเชื่อมั่นต่ำมาก)

เราไม่พบ RCTs ที่เกี่ยวข้องกับการสวมเสื้อกาวน์และถุงมือ กระบังหน้า หรือการคัดกรองที่ช่องทางเข้า

บันทึกการแปล: 

แปลโดย แพทย์หญิงวิลาสินี หน่อแก้ว โรงพยาบาลมะเร็งอุบลราชธานี Edit โดย ผกากรอง 18 เมษายน 2023

Tools
Information