การเสริมวิตามินเอเสริมสำหรับสตรีหลังคลอด

ประเด็นคืออะไร

คาดว่าการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จะช่วยตอบสนองความต้องการของทารกในช่วงเดือนแรกๆ ของชีวิต อย่างไรก็ตาม หากแม่ขาดสารอาหาร ทารกอาจไม่ได้รับสารอาหารครบถ้วนตามที่ต้องการ วิตามินเอมีความสำคัญต่อภูมิคุ้มกันและช่วยให้ทารกมีสุขภาพแข็งแรง ดังนั้น หากมารดาไม่ได้รับวิตามินเอเพียงพอในอาหาร ทารกก็อาจได้รับน้ำนมแม่ไม่เพียงพอเช่นกัน

ทำไมเรื่องนี้จึงมีความสำคัญ

ในพื้นที่ที่การขาดวิตามินเอเป็นปัญหาด้านสาธารณสุข การบริโภควิตามินเอของมารดาอาจไม่เพียงพอต่อความต้องการทางโภชนาการของมารดาหรือทารกที่กินนมแม่ เนื่องจากมีความเข้มข้นต่ำในน้ำนมแม่ มีการศึกษาจำนวนมากเพื่อแก้ไขข้อกังวลนี้ในประเทศที่มักขาดวิตามินเอ

เราพบหลักฐานอะไร

เราตรวจสอบ 14 การทดลอง โดยพบว่าหลักฐานโดยทั่วไปมีคุณภาพต่ำ การศึกษาเหล่านี้เกี่ยวข้องกับมารดาที่ได้รับวิตามินเอหรือไม่ภายใน 6 สัปดาห์แรกหลังคลอด หรือเปรียบเทียบวิตามินเอปริมาณสูงกับขนาดต่ำ การทบทวนวรรณกรรมของเราพิจารณาถึงสุขภาพโดยรวมของมารดาและทารก ผลข้างเคียงใดๆ และระดับของเรตินอลซึ่งเป็นผลพลอยได้ของวิตามินเอในน้ำนมแม่ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจำนวนมารดาหรือทารกที่เสียชีวิตหรือป่วย มารดาและทารกไม่มีอาการข้างเคียง มีหลักฐานว่าปริมาณเรตินอลในน้ำนมแม่ดีขึ้น

สิ่งนี้หมายความว่าอะไร

โดยสรุป แม้ว่าวิตามินเอเพิ่มเติมที่ให้กับมารดาอาจช่วยเพิ่มปริมาณสารอาหารนี้ในน้ำนมแม่ได้เล็กน้อย แต่ก็อาจทำให้การเสียชีวิตของมารดาหรือทารกแตกต่างได้เพียงเล็กน้อยหรือไม่มีความแตกต่าง อาจส่งผลเสียต่อแม่หรือทารกเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย

ข้อสรุปของผู้วิจัย: 

ไม่มีหลักฐานว่าได้รับประโยชน์จากการเสริมวิตามินเอในขนาดที่ต่างกันสำหรับสตรีหลังคลอดต่อการตายและการเจ็บป่วยของมารดาและทารก เมื่อเปรียบเทียบกับขนาดอื่นหรือยาหลอก แม้ว่าความเข้มข้นของเรตินอลในนมแม่จะดีขึ้นเมื่อได้รับอาหารเสริม แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพสำหรับสตรีหรือทารก มีรายงานการศึกษาน้อยเกี่ยวกับการเสียชีวิตและการเจ็บป่วยของมารดาและทารก การศึกษาในอนาคตควรมีผลลัพธ์ที่สำคัญเหล่านี้

อ่านบทคัดย่อฉบับเต็ม
บทนำ: 

ในพื้นที่ที่การขาดวิตามินเอ (VAD) เป็นปัญหาด้านสาธารณสุข การบริโภควิตามินเอของมารดาอาจไม่เพียงพอต่อความต้องการทางโภชนาการของมารดาหรือทารกที่กินนมแม่ เนื่องจากความเข้มข้นของเรตินอลในน้ำนมแม่ต่ำ

วัตถุประสงค์: 

เพื่อประเมินผลของการเสริมวิตามินเอในสตรีหลังคลอดต่อสุขภาพของมารดาและทารก

วิธีการสืบค้น: 

เราสืบค้น Cochrane Pregnancy and Childbirth Group's Trials Register (8 กุมภาพันธ์ 2016), LILACS (1982 ถึงธันวาคม 2015), Web of Science (1945 ถึงธันวาคม 2015) และรายการอ้างอิงของการศึกษาที่พบ

เกณฑ์การคัดเลือก: 

Randomized controlled trials (RCTs) หรือ cluster-randomised trials ที่ประเมินผลของการเสริมวิตามินเอสำหรับสตรีหลังคลอดต่อสุขภาพของมารดาและทารก (การเจ็บป่วย การตาย และภาวะโภชนาการของวิตามินเอ)

การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล: 

ผู้ประพันธ์การทบทวนวรรณกรรม 2 คน ประเมินการทดลองเพื่อรวมนำเข้า ดึงข้อมูล และประเมินความเสี่ยงของการมีอคติและตรวจสอบความถูกต้องอย่างอิสระต่อกัน เราได้ประเมินคุณภาพของหลักฐานที่ได้โดยวิธีการของ GRADE

ผลการวิจัย: 

มี 14 การทดลองซึ่งส่วนใหญ่มีความเสี่ยงต่ำหรือไม่ชัดเจนของอคติ โดยรวบรวมสตรี 25,758 รายและคู่ทารก รูปแบบการเสริมประกอบด้วยวิตามินเอในปริมาณสูง ครั้งเดียว หรือเพิ่มขนาดของวิตามินเอเป็น 2 เท่า (200,000 ถึง 400,000 หน่วยสากล (IU)) หรือเบต้าแคโรทีน 7.8 มก. ต่อวันเมื่อเทียบกับยาหลอก ไม่มีการรักษา อื่น ๆ (ธาตุเหล็ก); หรือขนาดยาที่สูง (400,000 IU) เทียบกับขนาดยาที่ต่ำกว่า (200,000 IU) ในการทดลองทั้งหมด ทารกส่วนใหญ่ได้รับนมแม่เพียงบางส่วนจนถึง 6 เดือนเป็นอย่างน้อย

อาหารเสริม (วิตามินเอในรูปเรตินิล น้ำผสมหรือเบต้าแคโรทีน) 200,000 ถึง 400,000 IU เทียบกับกลุ่มควบคุม (ยาหลอกหรือไม่มีการรักษา)

มารดา : เราไม่พบหลักฐานที่แสดงว่าการเสริมวิตามิน A ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตของมารดาที่ 12 เดือน (hazard ratio (HR) 1.01, 95% confidence interval (CI) 0.44 ถึง 2.21; ผู้เข้าร่วม 8577 คน; 1 RCT, หลักฐานคุณภาพปานกลาง) มีความเชื่อมั่นในผลลัพธ์น้อยกว่าที่ 6 เดือน (risk ratio (RR) 0.50, 95% CI 0.09 ถึง 2.71; ผู้เข้าร่วม 564 คน; 1 RCT; หลักฐานคุณภาพต่ำ) ผลต่อการเจ็บป่วยของมารดา (ท้องร่วง การติดเชื้อทางเดินหายใจ มีไข้) ไม่เชื่อมั่น เนื่องจากคุณภาพของหลักฐาน ต่ำมาก (ผู้เข้าร่วม 50 คน, 1 RCT) เราพบหลักฐานไม่เพียงพอที่แสดงว่าวิตามินเอ เพิ่มอาการปวดท้อง (RR 1.28, 95% CI 0.95 ถึง 1.73; ผู้เข้าร่วม 786 คน; 1 RCT; หลักฐานคุณภาพต่ำ) เราพบ หลักฐานคุณภาพต่ำ ว่าการเสริมวิตามินเอเพิ่มความเข้มข้นของเรตินอลในนมแม่ขึ้น 0.20 ไมโครโมล/ลิตร ที่ 3 ถึง 3 เดือนครึ่ง (ความแตกต่างของค่าเฉลี่ย (MD) 0.20 ไมโครโมล/ลิตร, 95% CI 0.08 ถึง 0.31; ผู้เข้าร่วม 837 คน; 6 RCTs)

ทารก : เราไม่พบหลักฐานที่แสดงว่าการเสริมวิตามินเอช่วยลดการเสียชีวิตของทารกที่ 2 ถึง 12 เดือน (RR 1.08, 95% CI 0.77 ถึง 1.52; ผู้เข้าร่วม 6090 คน; 5 RCTs; หลักฐานคุณภาพต่ำ) ผลต่อการเจ็บป่วย (กระเพาะและลำไส้อักเสบที่ 3 เดือน) ไม่เชื่อมั่น (RR 6.03, 95% CI 0.30 ถึง 121.82; ผู้เข้าร่วม 84 คน; 1 RCT;หลักฐานคุณภาพต่ำมาก) มี หลักฐานคุณภาพต่ำ สำหรับผลต่อผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ของทารก (กระหม่อมโป่งที่ 24 ถึง 48 ชั่วโมง) (RR 2.00, 95% CI 0.61 ถึง 6.55; ผู้เข้าร่วม 444 คน; 1 RCT)

การเสริม (วิตามินเอในรูปเรตินิล) 400,000 IU เทียบกับ 200,000 IU

มี 3 การศึกษา (ผู้เข้าร่วม 1312 คน) รวมอยู่ในการเปรียบเทียบนี้ ไม่มีการศึกษาใดที่ประเมินการตายของมารดา การเจ็บป่วยของมารดา หรือการตายของทารก ผลการศึกษาจาก 1 การศึกษาพบว่าอาจมีความแตกต่างเพียงเล็กน้อยในการเจ็บป่วยของทารกระหว่างขนาดยา (อาการท้องร่วง โรคทางเดินหายใจ และไข้) (ผู้เข้าร่วม 312 คน ไม่ได้รวมข้อมูล) ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนเกี่ยวกับผลต่อผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ของมารดาและทารก (มีข้อมูลจำกัด) ผลต่อเรตินอลในน้ำนมแม่ยังไม่แน่นอนเนื่องจากมีข้อมูลเพียงเล็กน้อย

บันทึกการแปล: 

แปลโดย ศ.นพ. ภิเศก ลุมพิกานนท์ ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น วันที่ 18 กรกฎาคม 2021

Tools
Information