ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

เบาหวานเพิ่มความเสี่ยงเป็นวัณโรคจริงหรือไม่

บทนำ

วัณโรค (tuberculosis; TB) เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ จากโรคติดเชื้อ โดยมีผู้เสียชีวิตจากวัณโรคประมาณ 1.3 ล้านรายในปี 2022 คาดว่าประชากรโลกประมาณ 25% ติดเชื้อวัณโรค ส่งผลให้มีผู้ป่วยวัณโรค 10.6 ล้านรายในปี 2022 อัตราการแพร่หลายของโรคเบาหวานมีอิทธิพลต่อการเกิดโรควัณโรคและอัตราการเสียชีวิตจากวัณโรค มีความเกี่ยวข้องไม่เพียงแต่กับความเสี่ยงต่อการเกิดโรค TB ที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเสียชีวิตระหว่างการรักษาโรค TB การกลับเป็นซ้ำของ TB หลังจากการรักษาเสร็จสิ้น และโรค TB ที่ดื้อยามากกว่าหนึ่งชนิดอีกด้วย ตั้งแต่ปี 2011 องค์การอนามัยโลก (World Health Organization; WHO) ได้แนะนำกิจกรรมความร่วมมือด้านวัณโรคและโรคเบาหวานตามที่ระบุไว้ในกรอบความร่วมมือการดูแลและควบคุมวัณโรคและโรคเบาหวาน

วัตถุประสงค์

เพื่อประเมินค่าการพยากรณ์โรคเบาหวานในประชากรทั่วไป ได้แก่ ผู้ใหญ่ วัยรุ่น และเด็ก เพื่อคาดการณ์โรควัณโรค

วิธีการสืบค้น

เราได้ค้นหาฐานข้อมูลวรรณกรรม MEDLINE (ผ่าน PubMed) และ WHO Global Index Medicus และ WHO International Clinical Trials Registry Platform (ICTRP) เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2023 (วันที่ค้นหาครั้งล่าสุดสำหรับฐานข้อมูลทั้งหมด) โดยไม่ได้กำหนดข้อจำกัดใด ๆ เกี่ยวกับภาษาของการตีพิมพ์

เกณฑ์การคัดเลือก

เรารวมการศึกษาแบบย้อนหลังและการศึกษาแบบไปข้างหน้า โดยไม่คำนึงถึงสถานะการตีพิมพ์หรือภาษา ประชากรเป้าหมายประกอบด้วยผู้ใหญ่ วัยรุ่น และเด็กจากสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย รวมไปถึงกลุ่มผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน ซึ่งมีโรคร่วมและความเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อวัณโรคที่แตกต่างกัน

การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล

เราใช้ระเบียบวิธีมาตรฐานของ Cochrane และเครื่องมือคุณภาพในการศึกษาการพยากรณ์โรค (Quality In Prognosis Studies; QUIPS) ปัจจัยการพยากรณ์โรคที่ประเมินเมื่อลงทะเบียน/เริ่มต้น ได้แก่ โรคเบาหวาน ตามที่กำหนดโดยการศึกษารายบุคคล ซึ่งครอบคลุมถึงสถานะที่ผู้ป่วยรายงาน ดึงมาจากบันทึกทางการแพทย์หรือข้อมูลการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน หรือวินิจฉัยโดยการวัดระดับน้ำตาลกลูโคสในพลาสมา/ฮีโมโกลบินที่ไกลโคซิเลต ผลลัพธ์เบื้องต้นคืออุบัติการณ์ของโรควัณโรค ผลลัพธ์รองคือการเกิดโรควัณโรคซ้ำ เราได้ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลรวมผลกระทบแบบสุ่มสำหรับ adjusted hazard ratios, adjusted risk ratios, หรือ adjusted odds ratios โดยใช้การประมาณค่าแบบ restricted maximum likelihood estimation เราประเมินความเชื่อมั่นของหลักฐานโดยใช้แนวทาง GRADE

ผลการวิจัย

เรารวบรวมการศึกษาแบบ cohort studies 48 ฉบับ โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 61 ล้านคนจาก 6 ภูมิภาคของ WHO อย่างไรก็ตาม ตัวแทนค่อนข้างหลากหลาย เนื่องจากการศึกษาตามประชากร มีจำนวน 8 ฉบับมาจากเกาหลีใต้ และ 19 ฉบับมาจากจีน โดยมีช่วงเวลาการศึกษาที่ทับซ้อนกัน และมีเพียง 1 ฉบับเท่านั้นมาจากภูมิภาคแอฟริกา (เอธิโอเปีย) การศึกษาทั้งหมดศึกษาในผู้ใหญ่ และการศึกษาอีก 9 ฉบับ ยังศึกษาในเด็กและวัยรุ่นด้วย การศึกษาส่วนใหญ่วินิจฉัยโรคเบาหวานจากบันทึกทางคลินิก เช่น ระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารหรือการรักษาโดยการลดระดับน้ำตาลในเลือด การศึกษาไม่ได้แยกความแตกต่างระหว่างเบาหวานประเภท 1 และประเภท 2 มีเพียงการศึกษาเดียวที่เน้นศึกษาเบาหวานประเภท 1 การวินิจฉัยและการแยกวัณโรคดำเนินการโดยใช้การเพาะเชื้อหรือการทดสอบวินิจฉัยอย่างรวดเร็วทางโมเลกุลที่ WHO แนะนำ (mWRD) ในการศึกษาเพียง 12 ฉบับ ซึ่งอาจทำให้การประมาณผลกระทบมีความลำเอียงได้ เวลาติดตามผลเฉลี่ยอยู่ที่ 5 ปี (ช่วงควอร์ไทล์ 1.5 ถึง 10, ช่วง 1 ถึง 16.9) และการศึกษารายงานค่า adjusted hazard ratio จากการใช้ multivariable Cox-proportional hazard model

Hazard Ratios (HR)

การประมาณการ HR แสดงถึงความเชื่อมั่นสูงสุดของหลักฐาน ซึ่งสำรวจผ่านการวิเคราะห์ความไว และไม่รวมการศึกษาที่มีความเสี่ยงของการมีอคติสูง เรานำเสนอช่วงความเชื่อมั่น 95% (CI) และช่วงการทำนาย ซึ่งนำเสนอความแตกต่างระหว่างการศึกษาในการวัดความแปรปรวนของขนาดของผล (นั่นคือ ช่วงขนาดผลของการศึกษาใหม่จะลดลงเมื่อพิจารณาจากประชากรการศึกษาเดียวกัน รวมอยู่ใน meta-analysis)

โรคเบาหวานอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรค TB (HR 1.90, 95% CI 1.51 ถึง 2.40; ช่วงการทำนาย (prediction interval) 0.83 ถึง 4.39; การศึกษา 10 ฉบับ; ผู้เข้าร่วม 11,713,023 ราย) ความเชื่อมั่นของหลักฐานต่ำเนื่องจากมีความเสี่ยงของการมีอคติปานกลางในการศึกษาและความไม่สอดคล้องกัน เมื่อพิจารณาความเสี่ยงที่ไม่มีโรคเบาหวานคือ 129 รายต่อประชากร 100,000 คน นั่นหมายความว่ามีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 102 ราย (เพิ่มขึ้นจาก 59 เป็น 153 ราย) ต่อประชากร 100,000 คน

เมื่อแบ่งตามระยะเวลาติดตาม ผลลัพธ์จะสอดคล้องกันมากขึ้นในระยะเวลาติดตามน้อยกว่า 10 ปี (HR 1.52, 95% CI 1.47 ถึง 1.57; ช่วงการทำนาย 1.45 ถึง 1.59; การศึกษา 7 ฉบับ; ผู้เข้าร่วม 10,380,872 ราย) ซึ่งส่งผลให้เกิดความเชื่อมั่นของหลักฐานในระดับปานกลาง เนื่องจากมีความเสี่ยงปานกลางของการมีอคติในการศึกษาต่าง ๆ

อย่างไรก็ตาม เมื่อติดตามเป็นเวลา 10 ปีหรือมากกว่านั้น การประมาณค่าจะให้ค่า CI ที่กว้างขึ้นและ HR ที่สูงขึ้น (HR 2.44, 95% CI 1.22 ถึง 4.88; ช่วงทำนาย 0.09 ถึง 69.12; การศึกษา 3 ฉบับ; ผู้เข้าร่วม 1,332,151 คน) ความเชื่อมั่นของหลักฐานต่ำเนื่องจากมีความเสี่ยงปานกลางของการมีอคติและความไม่สอดคล้องกัน

Odds Ratio (OR)

โรคเบาหวานอาจเพิ่มโอกาสในการเกิดโรค TB (OR 1.61, 95% CI 1.27 ถึง 2.04; ช่วงการทำนาย 0.96 ถึง 2.70; การศึกษา 4 ฉบับ; ผู้เข้าร่วม 167,564 ราย) การแบ่งชั้นตามระยะเวลาการติดตามไม่สามารถทำได้ เนื่องจากการศึกษาทั้งหมดมีระยะเวลาการติดตามน้อยกว่า 10 ปี ความแน่นอนของหลักฐานอยู่ในระดับต่ำเนื่องจากมีความเสี่ยงของการมีอคติปานกลางและความไม่สอดคล้องกัน

Risk Ratio (RR)

ค่าประมาณ RR แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นสูงสุดของหลักฐานที่สำรวจผ่านการวิเคราะห์ความไวและการนำการศึกษาที่มีความเสี่ยงของการมีอคติสูงออกจาการวิเคราะห์ โรคเบาหวานอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรค TB (RR 1.60, 95% CI 1.42 ถึง 1.80; ช่วงการทำนาย 1.38 ถึง 1.85; การศึกษา 6 ฉบับ; ผู้เข้าร่วม 44,058,675 คน) การแบ่งชั้นตามระยะเวลาการติดตามไม่สามารถทำได้ เนื่องจากการศึกษาทั้งหมดมีระยะเวลาการติดตามน้อยกว่า 10 ปี ความเชื่อมั่นของหลักฐานอยู่ในระดับปานกลาง เนื่องจากมีความเสี่ยงของการมีอคติในระดับปานกลาง

ข้อสรุปของผู้วิจัย

โรคเบาหวานอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรค TB ในระยะสั้น (< 10 ปี) และอาจเพิ่มความเสี่ยงในระยะยาว (≥ 10 ปี) ได้เช่นกัน เนื่องจากการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและการเข้าถึงการรักษาอาจเป็นตัวปรับเปลี่ยนผลที่อาจเกิดขึ้นได้ของความสัมพันธ์ระหว่างโรคเบาหวานและความเสี่ยงต่อโรควัณโรค จึงควรตีความค่าประมาณโดยรวมด้วยความระมัดระวังเมื่อนำไปใช้ในพื้นที่ จำเป็นต้องมีนโยบายที่มุ่งลดภาระของโรคเบาหวานเพื่อบรรลุเป้าหมายในการหยุดวัณโรค จำเป็นต้องมีกลุ่มประชากรขนาดใหญ่ รวมถึงกลุ่มที่ได้มาจากทะเบียนการสัมผัสโรค (เบาหวาน) และผลลัพธ์ (โรค TB) ระดับชาติที่มีคุณภาพสูง เพื่อให้สามารถประมาณการความเสี่ยงนี้ได้ด้วยความเชื่อมั่นของหลักฐานที่สูงในสถานที่และประชากรที่แตกต่างกัน รวมถึงประเทศที่มีรายได้น้อยและปานกลางจากภูมิภาคต่างๆ ของ WHO ยิ่งไปกว่านั้น การศึกษาที่รวมถึงเด็กและวัยรุ่นและวิธีการที่แนะนำในปัจจุบันสำหรับการวินิจฉัยวัณโรคจะให้ข้อมูลที่ทันสมัยมากขึ้นที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติและนโยบาย

แหล่งทุน

องค์การอนามัยโลก (203256442)

การลงทะเบียน

การลงทะเบียน PROSPERO: CRD42023408807

บันทึกการแปล

ผู้แปล แพทย์หญิงชุติมา ชุณหะวิจิตร วันที่ 4 ตุลาคม 2024

Citation
Franco JVA, Bongaerts B, Metzendorf MI, Risso A, Guo Y, Peña Silva L, Boeckmann M, Schlesinger S, Damen JAAG, Richter B, Baddeley A, Bastard M, Carlqvist A, Garcia-Casal MN, Hemmingsen B, Mavhunga F, Manne-Goehler J, Viney K. Diabetes as a risk factor for tuberculosis disease. Cochrane Database of Systematic Reviews 2024, Issue 8. Art. No.: CD016013. DOI: 10.1002/14651858.CD016013.pub2.