COVID-19-specific monoclonal antibodies ที่ผลิตในห้องปฏิบัติการ รักษาโรค COVID-19 ได้อย่างมีประสิทธิผลหรือไม่

ข้อความสำคัญ

- เราไม่ทราบว่าแอนติบอดี (การป้องกันตามธรรมชาติของร่างกายต่อโรค) ที่ผลิตในห้องปฏิบัติการและที่เหมือนกันทั้งหมด (monoclonal) และออกแบบมาเพื่อกำหนดเป้าหมาย COVID-19 เป็นวิธีการรักษา COVID-19 ที่มีประสิทธิผลหรือไม่เพราะเราประเมินเพียง 6 การศึกษาที่สำรวจการรักษาที่แตกต่างกันในผู้ป่วยประเภทต่างๆ

- เราพบ 36 การศึกษาที่กำลังดำเนินการอยู่ ที่จะให้หลักฐานเพิ่มเติมเมื่อเสร็จ

เราวางแผนที่จะปรับปรุงการทบทวนวรรณกรรมนี้อย่างสม่ำเสมอเมื่อมีการวิจัยเพิ่มเติม

‘monoclonal’ antibodies คืออะไร?

แอนติบอดีถูกสร้างขึ้นโดยร่างกายเพื่อป้องกันโรค อย่างไรก็ตาม ยังสามารถผลิตได้ในห้องปฏิบัติการจากเซลล์ที่นำมาจากผู้ที่หายจากโรค

แอนติบอดีที่ออกแบบมาเพื่อกำหนดเป้าหมายโปรตีนจำเพาะเพียงตัวเดียว ในกรณีนี้ โปรตีนในไวรัสที่เป็นสาเหตุของโควิด-19 คือ 'monoclonal' พวกเขายึดติดกับไวรัส COVID-19 และหยุดไม่ให้เข้าและแบ่งตัวในเซลล์ของมนุษย์ซึ่งช่วยในการต่อสู้กับการติดเชื้อ monoclonal’ antibodies ถูกใช้อย่างประสบความสำเร็จในการรักษาไวรัสอื่นๆ คิดว่าจะทำให้เกิดผลที่ไม่พึงประสงค์น้อยกว่า convalescent plasma ซึ่งมีแอนติบอดีที่แตกต่างกันมากมาย

เราต้องการทราบอะไร

เราต้องการทราบว่า COVID-19 specific monoclonal antibodies รักษาโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิผลหรือไม่ เรายังดูด้วยว่า:

- ลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากสาเหตุใด ๆ

- อาการดีขึ้นหรือแย่ลง

- เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น และ

- ก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรงหรืออื่นๆ ที่ไม่พึงประสงค์

เราทำอะไร

เราค้นหาการศึกษาที่ตรวจสอบ monoclonal antibodies อย่างน้อย 1 ตัวเพื่อรักษาผู้ที่ได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อ COVID-19 เทียบกับยาหลอก (การรักษาหลอก) การรักษาแบบอื่นหรือไม่มีการรักษา การศึกษาสามารถดำเนินการได้ทุกที่ในโลกและรวมถึงผู้เข้าร่วมทุกช่วงอายุ เพศ หรือเชื้อชาติ ด้วย COVID-19 แบบไม่รุนแรง ปานกลาง หรือรุนแรง

เราเปรียบเทียบและสรุปผลการศึกษาและให้คะแนนความเชื่อมั่นของเราในหลักฐาน โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น วิธีการศึกษาและขนาด

เราพบอะไร

เราพบ 6 การศึกษาเชิงรุก รวมทั้งหมด 17,495 คน มี 4 การศึกษาได้ตรวจสอบผู้ที่ไม่ได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่ไม่มีอาการหรือ COVID-19 ที่ไม่รุนแรง มี 2 การศึกษาได้ตรวจสอบผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่ติดเชื้อ COVID-19 ในระดับปานกลางถึงรุนแรง การศึกษาเกิดขึ้นทั่วโลก มี 3 การศึกษา ได้รับทุนจากบริษัทยา Monoclonal antibodies ที่พวกเขาศึกษาคือ bamlanivimab, etesevimab, casirivimab และ imdevimab, sotrovimab, regdanvimab เราไม่พบข้อมูลการตายที่ 60 วันหรือคุณภาพชีวิต

ผู้ที่ไม่ได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ซึ่งไม่มีอาการใดๆ หรือ COVID-19 ที่ไม่รุนแรง (4 การศึกษา)

1 การศึกษาตรวจสอบปริมาณ bamlanivimab ที่แตกต่างกัน (465 คน) เมื่อเทียบกับยาหลอก

เราไม่รู้ว่า bamlanivimab:

- เพิ่มหรือลดจำนวนผู้เสียชีวิตเนื่องจากไม่มีผู้เข้าร่วมเสียชีวิตภายใน 30 วันหลังการรักษา

- ทำให้เกิดผลที่ไม่พึงประสงค์ร้ายแรงมากหรือน้อยเพราะมีเหตุการณ์น้อย

Bamlanivimab อาจลดจำนวนการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลภายใน 30 วันหลังการรักษา เมื่อเทียบกับยาหลอก

- อาจทำให้เกิดผลที่ไม่พึงประสงค์น้อยกว่ายาหลอกเล็กน้อย

- เราไม่พบข้อมูลสำหรับอาการดีขึ้นหรืออาการแย่ลง

1 การศึกษาตรวจสอบการรวมกันของ bamlanivimab และ etesevimab (1035 คน) เมื่อเทียบกับยาหลอก

- Bamlanivimab และ etesevimab อาจลดจำนวนผู้เสียชีวิตและการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล

- อาจทำให้เกิดผลที่ไม่พึงประสงค์มากขึ้นเล็กน้อย

- อาจทำให้เกิดผลที่ไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงมากขึ้น

สำหรับการรักษาด้วย bamlanivimab เพียงอย่างเดียวหรือร่วมกับ etesevimab เราไม่พบข้อมูลสำหรับอาการที่ดีขึ้นหรืออาการแย่ลง

1 การศึกษา (ระยะที่ 1/2 ใน 799 คน) ได้ตรวจสอบปริมาณยา casirivimab ที่ต่างกันร่วมกับ imdevimab เมื่อเทียบกับยาหลอก

- Casirivimab ร่วมกับ imdevimab อาจลดจำนวนการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหรือการเสียชีวิต

- เราไม่ทราบว่า casirivimab and imdevimab ทำให้เกิดสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ (ระดับ 3 และ 4) มากกว่าและผลที่ไม่พึงประสงค์ที่ร้ายแรงกว่ายาหลอกหรือไม่ เพราะมีผู้เสียชีวิตน้อยเกินไปที่เราจะตัดสินได้

- ไม่พบข้อมูลจำนวนผู้เสียชีวิตในวันที่ 30 และอาการรุนแรง

- เราไม่รวมผลจากระยะที่ 3 (5607 คน) ของการศึกษานี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะมีอคติ เนื่องจากยังไม่ชัดเจนว่าผู้เข้าร่วมรายใดรวมอยู่ในการวิเคราะห์

1 การศึกษา (583 คน) ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับ sotrovimab เมื่อเทียบกับยาหลอก

เราไม่ทราบว่า sotrovimab:

- เพิ่มหรือลดจำนวนผู้เสียชีวิตและคนที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจหรือการเสียชีวิต เนื่องจากมีผู้เสียชีวิตน้อยเกินไปที่จะตัดสินได้

- Sotrovimab อาจลดจำนวนคนที่ต้องใช้ออกซิเจน ผลกระทบที่ไม่ต้องการ (ระดับ 3 ถึง 4) และผลที่ไม่พึงประสงค์ร้ายแรง

- อาจมีผลเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีต่อผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ (ทุกระดับ)

การศึกษาอื่น (327 คน) ได้ตรวจสอบขนาดยาที่แตกต่างกันของ regdanvimab (40 มก./กก. และ 80 มก./กก.) เมื่อเทียบกับยาหลอก

- Regdanvimab ในขนาดใดขนาดหนึ่งอาจลดจำนวนการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิต

- อาจเพิ่มเหตุการณ์ที่ไม่ต้องการ (ระดับ 3 ถึง 4)

- Regdanvimab ในขนาด 80 มก./กก. อาจลดผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ (ทุกระดับ) และ 40 มก./กก. อาจมีผลเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีผล

- เราไม่ทราบว่า regdanvimab เพิ่มหรือลดจำนวนผู้เสียชีวิต ความต้องการใช้เครื่องช่วยหายใจแบบลุกล้ำ และผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ร้ายแรง เนื่องจากมีเหตุการณ์น้อยเกินไปที่เราจะตัดสินได้

ผู้ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่มีโรค COVID-19 ในระดับปานกลางถึงรุนแรง (2 การศึกษา)

1 การศึกษา (314 คน) ตรวจสอบ bamlanivimab เมื่อเทียบกับยาหลอก

- เราไม่ทราบว่า bamlanivimab เพิ่มหรือลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากสาเหตุใดๆ ได้ถึง 30 หรือ 90 วันหลังการรักษา เพราะมีผู้เสียชีวิตน้อยเกินไปที่จะตัดสินได้ (เสียชีวิตด้วย bamlanivimab 6 ราย และเสียชีวิตด้วยยาหลอก 4 ราย ในจำนวน 314 คน)

- Bamlanivimab อาจเพิ่มการเกิดอาการรุนแรงของ COVID-19 เล็กน้อยใน 5 วันหลังจากการรักษาและจำนวนผู้ที่มีอาการไม่พึงประสงค์

- Bamlanivimab อาจมีผลเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยจนออกจากโรงพยาบาล

- เราไม่ทราบว่า bamlanivimab ทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ร้ายแรงภายในวันที่ 30 หรือไม่ เนื่องจากการศึกษามีขนาดเล็กและรายงานผลที่ไม่พึงประสงค์ร้ายแรงเพียงเล็กน้อย

การศึกษาอื่น (9785 คน) ได้ทำการศึกษา casirivimab ร่วมกับ imdevimab เมื่อเทียบกับการดูแลมาตรฐาน

- Casirivimab ร่วมกับ imdevimab อาจแทบไม่มีผลต่อจำนวนผู้เสียชีวิต ความต้องการใช้เครื่องช่วยหายใจหรือการเสียชีวิต และการออกจากโรงพยาบาลโดยมีชีวิต

- เราไม่พบข้อมูลสำหรับผลที่ไม่พึงประสงค์และผลที่ไม่พึงประสงค์ร้ายแรง

ข้อจำกัดของหลักฐานคืออะไร

ความเชื่อมั่นในหลักฐานของเราต่ำเพราะเราพบเพียง 6 การศึกษาเท่านั้น และไม่ได้รายงานทุกสิ่งที่เราสนใจ เช่น จำนวนผู้เสียชีวิตภายใน 60 วันและคุณภาพชีวิต เราพบ 36 การศึกษาที่กำลังดำเนินการอยู่ เมื่อเผยแพร่แล้ว เราจะรวมผลในการทบทวนวรรณกรรมของเรา ผลเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนข้อสรุปของเรา และยังช่วยให้เราเข้าใจว่า variant ใหม่ส่งผลต่อการทำงานของ monoclonal antibodies อย่างไร

หลักฐานนี้เป็นปัจจุบันแค่ไหน

หลักฐานเป็นข้อมูลล่าสุดถึงวันที่ 17 มิถุนายน 2021

ข้อสรุปของผู้วิจัย: 

หลักฐานสำหรับการเปรียบเทียบแต่ละอย่างอิงจากการศึกษาเดี่ยว ไม่มีการวัดคุณภาพชีวิตในการศึกษาเหล่านี้ ความเชื่อมั่นของเราในหลักฐานสำหรับผู้ที่ไม่ได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทั้งหมดอยู่ในระดับต่ำ และสำหรับบุคคลที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอยู่ในระดับต่ำถึงปานกลาง เราพิจารณาว่าหลักฐานในปัจจุบันไม่เพียงพอที่จะสรุปผลการรักษาด้วย SARS-CoV-2-neutralising mAbs

จำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมและข้อมูลระยะยาวจากการศึกษาที่มีอยู่เพื่อยืนยันหรือหักล้างการค้นพบครั้งแรกเหล่านี้ และเพื่อทำความเข้าใจว่าการเกิดขึ้นของ SARS-CoV-2 varaints อาจส่งผลต่อประสิทธิผลของ SARS-CoV-2-neutralising mAbs ได้อย่างไร การตีพิมพ์ของ 36 การศึกษาที่กำลังดำเนินการอยู่อาจแก้ไขความไม่เชื่อมั่นเกี่ยวกับประสิทธิผลและความปลอดภัยของ SARS-CoV-2-neutralising mAbs สำหรับการรักษา COVID-19 และความแตกต่างของกลุ่มย่อยที่เป็นไปได้

อ่านบทคัดย่อฉบับเต็ม
บทนำ: 

Monoclonal antibodies (mAbs) เป็นโมเลกุลที่ผลิตในห้องปฏิบัติการซึ่งได้มาจากเซลล์ B ของคนที่ติดเชื้อ ซึ่งกำลังถูกประเมินว่าเป็นการรักษาที่มีศักยภาพสำหรับโรค coronavirus 2019 (COVID-19)

วัตถุประสงค์: 

เพื่อประเมินประสิทธิผลและความปลอดภัยของ SARS-CoV-2-neutralising mAbs สำหรับการรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อ COVID-19 เปรียบเทียบกับ active comparator, ยาหลอก หรือการไม่มีการรักษา เพื่อรักษากระแสของหลักฐาน เราจะใช้วิธีการ living systematic review

วัตถุประสงค์รองคือการติดตาม mAb ที่กำหนดเป้าหมาย SARS-CoV-2 ที่พัฒนาขึ้นใหม่ตั้งแต่การทดสอบครั้งแรกในมนุษย์เป็นต้นไป

วิธีการสืบค้น: 

เราสืบค้นใน MEDLINE, Embase, Cochrane COVID-19 Study Register และฐานข้อมูลอื่นๆ อีก 3 ฐานข้อมูลเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2021 นอกจากนี้ ยังได้ตรวจสอบเอกสารอ้างอิง, เอกสารที่ถูกอ้างถึงในงานวิจัย และติดต่อเจ้าของงานวิจัยเพื่อค้นหาการศึกษาเพิ่มเติมตามความจำเป็น ระหว่างการส่งและการเผยแพร่ เราได้ดำเนินการค้นหา shortened randomised controlled trial (RCT) เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2021

เกณฑ์การคัดเลือก: 

เรารวมการศึกษาที่ประเมิน SARS-CoV-2 neutralising mAbs เพียงอย่างเดียวหรือรวมกัน เปรียบเทียบกับ active comparator, ยาหลอก หรือไม่มีการรักษา เพื่อรักษาผู้ป่วย COVID-19 เราไม่รวมการศึกษาเกี่ยวกับการใช้ SARS-CoV-2-neutralising mAbs เพื่อป้องกันโรค

การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล: 

ผู้นิพนธ์การทบทวนวรรณกรรม 2 คน ประเมินผลการค้นหา ดึงข้อมูล และประเมินความเสี่ยงของการมีอคติอย่างอิสระต่อกัน โดยใช้ Cochrane risk of bias tool (RoB2) ผลลัพธ์ที่สำคัญคือการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุภายในวันที่ 30 และ 60 ความก้าวหน้าทางคลินิก คุณภาพชีวิต การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ (AE) และเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ร้ายแรง (SAE) เราจัดอันดับความเชื่อมั่นของหลักฐานโดยใช้ GRADE

ผลการวิจัย: 

เราพบ 6 RCTs ที่ให้ผลลัพธ์จากผู้เข้าร่วม 17,495 คน โดยมีกำหนดวันที่แล้วเสร็จตามแผนระหว่างเดือนกรกฎาคม 2021 ถึงธันวาคม 2021 เป้าหมายขนาดกลุ่มตัวอย่างมีตั้งแต่ 1020 ถึง 10,000 คน อายุเฉลี่ยอยู่ที่ 42 ถึง 53 ปีจาก 4 การศึกษาของผู้เข้าร่วมที่ไม่ได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และ 61 ปีใน 2 การศึกษาที่ผู้เข้าร่วมเข้ารักษาในโรงพยาบาล

บุคคลที่ไม่อยู่ในโรงพยาบาลที่ติดเชื้อ COVID-19

มี 4 การศึกษาประเมินยาเดี่ยว bamlanivimab (N = 465), sotrovimab (N = 868), regdanvimab (N = 307) และการรวมกันของ bamlanivimab/etesevimab (N = 1035) และ casirivimab/imdevimab (N = 799) เราไม่พบข้อมูลการตายที่ 60 วันหรือคุณภาพชีวิต ความเชื่อมั่นของเราในหลักฐานต่ำสำหรับผลลัพธ์ทั้งหมดเนื่องจากมีเหตุการณ์น้อยเกินไป (มีความไม่แม่นยำที่ร้ายแรงอย่างมาก)

Bamlanivimab เทียบกับยาหลอก

ไม่มีผู้เสียชีวิตในการศึกษาภายในวันที่ 29 มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 9 คนในวันที่ 29 จาก 156 คนในกลุ่มยาหลอกเทียบกับ 1 ใน 101 ในกลุ่มที่ได้รับ bamlanivimab 0.7 g (risk ratio (RR) 0.17, ช่วงความเชื่อมั่น 95% (CI) 0.02 ถึง 1.33) , 2 จาก 107 ในกลุ่มที่ได้รับ 2.8 g (RR 0.32, 95% CI 0.07 ถึง 1.47) และ 2 จาก 101 ในกลุ่มที่รับ 7.0 g (RR 0.34, 95% CI 0.08 ถึง 1.56) การรักษาด้วย bamlanivimab 0.7 กรัม, 2.8 กรัม และ 7.0 กรัม อาจมีอัตรา AE ใกล้เคียงกับยาหลอก (RR 0.99, 95% CI 0.66 ถึง 1.50; RR 0.90, 95% CI 0.59 ถึง 1.38; RR 0.81, 95% CI 0.52 ถึง 1.27) ผลต่อ SAE ไม่แน่นอน ไม่มีรายงานความก้าวหน้าทางคลินิก / อาการดีขึ้นหรือการเกิดอาการรุนแรง

Bamlanivimab/etesevimab เทียบกับยาหลอก

ในกลุ่มที่ได้รับยาหลอกมีผู้เสียชีวิต 10 ราย และไม่พบในกลุ่ม bamlanivimab/etesevimab ในวันที่ 30 (RR 0.05, 95% CI 0.00 ถึง 0.81) Bamlanivimab/etesevimab อาจลดการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในวันที่ 29 (RR 0.30, 95% CI 0.16 ถึง 0.59) อาจส่งผลให้ AE ระดับต่างๆ เพิ่มขึ้นเล็กน้อย (RR 1.15, 95% CI 0.83 ถึง 1.59) และอาจเพิ่ม SAE (RR 1.40 , 95% CI 0.45 ถึง 4.37) ไม่มีรายงานความก้าวหน้าทางคลินิก / อาการดีขึ้นหรือการเกิดอาการรุนแรง

Casirivimab/imdevimab เทียบกับยาหลอก

Casirivimab/imdevimab อาจลดการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหรือการเสียชีวิต (2.4 g.: RR 0.43, 95% CI 0.08 ถึง 2.19; 8.0 g: RR 0.21, 95% CI 0.02 ถึง 1.79) เราไม่เชื่อมั่นถึงผลต่อ AE ระดับ 3-4 (2.4 g: RR 0.76, 95% CI 0.17 ถึง 3.37; 8.0 g: RR 0.50, 95% CI 0.09 ถึง 2.73) และ SAE (2.4 g.: RR 0.68, 95% CI 0.19 ถึง 2.37; 8.0 g: RR 0.34, 95% CI 0.07 ถึง 1.65) ไม่มีรายงานการเสียชีวิตภายในวันที่ 30 และความก้าวหน้าทางคลินิก/อาการดีขึ้นหรือการเกิดอาการรุนแรง

Sotrovimab เทียบกับยาหลอก

เราไม่เชื่อมั่นว่า sotrovimab มีผลต่อการตายหรือไม่ (RR 0.33, 95% CI 0.01 ถึง 8.18) และ invasive mechanical ventilation (IMV) หรือการเสียชีวิต (RR 0.14, 95% CI 0.01 ถึง 2.76) การรักษาด้วย sotrovimab อาจลดจำนวนผู้เข้าร่วมที่ต้องการออกซิเจน (RR 0.11, 95 % CI 0.02 ถึง 0.45) เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตภายในวันที่ 30 (RR 0.14, 95% CI 0.04 ถึง 0.48), AE ระดับ 3-4 (RR 0.26, 95% CI 0.12 ถึง 0.60), SAE (RR 0.27, 95% CI 0.12 ถึง 0.63) และอาจมีผลเล็กน้อยหรือไม่มีผลต่อ AE ระดับใดก็ตาม (RR 0.87, 95% CI 0.66 ถึง 1.16)

Regdanvimab เทียบกับยาหลอก

การรักษาด้วยยาขนาดอย่างใดอย่างหนึ่ง (40 หรือ 80 มก./กก.) เมื่อเทียบกับยาหลอกอาจลดการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิต (RR 0.45, 95% CI 0.14 ถึง 1.42; RR 0.56, 95% CI 0.19 ถึง 1.60, ผู้เข้าร่วม 206 คน) แต่อาจเพิ่ม AE ระดับ 3-4 (RR 2.62, 95% CI 0.52 ถึง 13.12; RR 2.00, 95% CI 0.37 ถึง 10.70) 80 มก./กก. อาจลด AE ระดับใดๆ (RR 0.79, 95% CI 0.52 ถึง 1.22) แต่ 40 มก./กก. อาจมีผลเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย (RR 0.96, 95% CI 0.64 ถึง 1.43) มีเหตุการณ์น้อยเกินไปที่จะให้การตัดสินที่มีความหมายสำหรับผลลัพธ์การตายภายใน 30 วัน ความต้องการ IMV และ SAEs

บุคคลที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลที่ติดเชื้อ COVID-19

มี 2 การศึกษาที่ประเมิน bamlanivimab เป็นยาเดี่ยว (N = 314) และ casirivimab/imdevimab ในการรักษาแบบผสม (N = 9785)

Bamlanivimab เทียบกับยาหลอก

เราไม่แน่ใจว่า bamlanivimab มีผลต่อการตายในวันที่ 30 (RR 1.39, 95% CI 0.40 ถึง 4.83) และ SAEs ภายในวันที่ 28 (RR 0.93, 95% CI 0.27 ถึง 3.14) หรือไม่ Bamlanivimab อาจมีผลต่อเวลาออกจากโรงพยาบาลเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย (HR 0.97, 95% CI 0.78 ถึง 1.20) และการเสียชีวิตในวันที่ 90 (HR 1.09, 95% CI 0.49 ถึง 2.43) ผลของ bamlanivimab ต่อการเกิดอาการรุนแรงในวันที่ 5 (RR 1.17, 95% CI 0.75 ถึง 1.85) ไม่แน่นอน Bamlanivimab อาจเพิ่ม AE ระดับ 3-4 ในวันที่ 28 (RR 1.27, 95% CI 0.81 ถึง 1.98) เราประเมินหลักฐานว่ามีความเชื่อมั่นต่ำสำหรับผลลัพธ์ทั้งหมดอันเนื่องมาจากความไม่แม่นยำอย่างร้ายแรง และมีความเชื่อมั่นต่ำมากสำหรับอาการรุนแรงเนื่องจากมีความกังวลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลทางอ้อม

Casirivimab/imdevimab กับการดูแลตามปกติเมื่อเทียบกับการดูแลตามปกติเพียงอย่างเดียว

การรักษาด้วย casirivimab/imdevimab เมื่อเทียบกับการดูแลตามปกติอาจมีผลต่อการตายในวันที่ 30 เพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย (RR 0.94, 95% CI 0.87 ถึง 1.02), ความต้องการ IMV หรือการเสียชีวิต (RR 0.96, 95% CI 0.90 ถึง 1.04) หรือมีชีวิตอยู่ตอนออกจากโรงพยาบาลในวันที่ 30 (RR 1.01, 95% CI 0.98 ถึง 1.04) เราประเมินหลักฐานว่ามีความเชื่อมั่นปานกลางเนื่องจากข้อจำกัดในการศึกษา (ขาดการปกปิด) ไม่มีการรายงาน AE และ SAEs

บันทึกการแปล: 

แปลโดย ศ.นพ.ภิเศก ลุมพิกานนท์ ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 23 ตุลาคม 2021

Tools
Information