Corticosteroids สำหรับรักษาไลเคนพลานัสในช่องปาก

คำถามของการทบทวนวรรณกรรม

คอร์ติโคสเตียรอยด์มีประสิทธิภาพและปลอดภัยในการรักษาไลเคนพลานัสในช่องปากที่ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดหรือไม่

ความเป็นมา

ไลเคนพลานัสในช่องปากเป็นอาการที่พบได้บ่อย ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความเจ็บปวดบริเวณเยื่อบุช่องปากเป็นเวลานาน การรักษาตามปกติคือการใช้ยาที่เรียกว่าคอร์ติโคสเตียรอยด์โดยตรงในบริเวณที่เจ็บปวด (เฉพาะที่) หรือชนิดรับประทาน(ตามระบบ) การรักษามีจุดมุ่งหมายเพื่อลดความเจ็บปวดและการรักษาอาการในช่องปาก แต่ไม่มีวิธีรักษาตัวโรค

ลักษณะการศึกษา

หลักฐานในการทบทวนนี้เป็นข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2019 เรารวบรวมการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มเปรียบเทียบ 35 ฉบับ (การศึกษาทางคลินิกที่สุ่มเลือกผู้คนให้อยู่ในกลุ่มการรักษาหนึ่งในสองกลุ่มหรือมากกว่า) โดยมีผู้เข้าร่วม 1474 คน ซึ่งทำการทดสอบยาคอร์ติโคสเตียรอยด์หลายชนิด โดยส่วนใหญ่ใช้เฉพาะที่ (บนผิวหนัง) คอร์ติโคสเตียรอยด์ถูกนำมาเปรียบเทียบกับสิ่งต่อไปนี้: ยาหลอก (การรักษาที่คล้ายกับคอร์ติโคสเตียรอยด์แต่ไม่มีสารออกฤทธิ์); ยาจากหมวดที่เรียกว่า สารยับยั้งแคลซินูริน ; ยาประเภทอื่น คอร์ติโคสเตียรอยด์อื่นหรือวิธีการใช้อื่น คอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดเดียวกันบวกกับการรักษาพิเศษ หรือการรักษาทางเลือกอื่น ให้การรักษาเป็นเวลาระหว่าง 1 สัปดาห์ถึง 6 เดือน โดยมีการวัดผลข้างเคียงตลอดการรักษา และวัดความเจ็บปวดและผลการรักษาเมื่อสิ้นสุดการรักษา

ผลลัพธ์สำคัญ

ผลจาก 2 การศึกษา แสดงให้เห็นว่าคอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่ (เช่น โคลเบตาซอล โพรพิโอเนต, ฟลูซิโนไนด์, เบตาเมทาโซน และไตรแอมซิโนโลน อะซิโตไนด์) เมื่อทาครีมเหนียวเข้าไปในปาก อาจมีประสิทธิภาพในการลดและยับยั้งความเจ็บปวด เราไม่มีหลักฐานว่ายาคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดทาสามารถกำจัดรอยโรคไลเคนพลานัสในช่องปากได้ และเราไม่แน่ใจเกี่ยวกับผลข้างเคียงของยา

เราไม่พบหลักฐานที่สอดคล้องกันว่าคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดใดชนิดหนึ่งดีกว่าชนิดอื่น

มี 3 การศึกษาที่ใช้ยาทาอื่นที่เรียกว่าทาโครลิมัส (สารยับยั้งแคลซินูริน) พบว่ายานี้อาจมีประสิทธิผลมากกว่าคอร์ติโคสเตียรอยด์ แต่อาจมีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่รุนแรงได้

หลักฐานที่มีอยู่นั้นเปรียบเทียบคอร์ติโคสเตียรอยด์กับการรักษาอื่นๆ โดยมีข้อจำกัดมาก

ความน่าเชื่อถือของหลักฐาน

ความน่าเชื่อถือของหลักฐานส่วนใหญ่นั้นต่ำมาก ดังนั้นเราจึงไม่แน่ใจเกี่ยวกับการค้นพบและการวิจัยในอนาคตอาจนำเราไปสู่ข้อสรุปที่แตกต่างกัน

บทสรุป

หลักฐานที่มีอยู่ชี้ให้เห็นว่ายาคอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่อาจมีประสิทธิภาพในการรักษาอาการเจ็บปวดจากไลเคนพลานัสในช่องปาก แต่ความเชื่อมั่นของเราในการค้นพบนี้มีจำกัด เนื่องจากมีการศึกษาและผู้เข้าร่วมน้อย มีหลักฐานบางอย่างที่แสดงว่าทาโครลิมัสอาจมีประสิทธิภาพมากกว่าคอร์ติโคสเตียรอยด์ แต่หลักฐานเกี่ยวกับผลข้างเคียงที่เป็นลบยังไม่สามารถสรุปได้

ข้อสรุปของผู้วิจัย: 

Corticosteroids เป็นแนวทางแรกในการรักษา OLP การทบทวนวรรณกรรมนี้พบว่ายาเหล่านี้ ที่ใช้แบบเจลกาวเฉพาะที่หรือยาที่คล้ายคลึงกัน อาจมีประสิทธิผลมากกว่ายาหลอกในการลดความเจ็บปวดของ OLP อย่างไรก็ตาม ด้วยการศึกษาและผู้เข้าร่วมมีจำนวนน้อย เรามีความเชื่อมั่นต่ำมากในผลลัพธ์นี้ ผลลัพธ์สำหรับการตอบสนองทางคลินิกนั้นไม่สามารถสรุปได้ และเราไม่แน่ใจเกี่ยวกับผลข้างเคียง หลักฐานที่มีความเชื่อมั่นต่ำมากแสดงให้เห็นว่าสารยับยั้ง calcineurin โดยเฉพาะทาโครลิมัส อาจมีประสิทธิภาพในการช่วยลดความเจ็บปวดได้ดีกว่ายาคอร์ติโคสเตียรอยด์ แม้ว่าจะมีความไม่แน่นอนบางประการเกี่ยวกับผลข้างเคียงและการตอบสนองทางคลินิกต่อทาโครลิมัสแสดงให้เห็นผลลัพธ์ที่ขัดแย้งกัน

อ่านบทคัดย่อฉบับเต็ม
บทนำ: 

ไลเคนพลานัสในช่องปาก (OLP) เป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากเซลล์ T ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการเจ็บปวดอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแผลตื้นจากการกัดกร่อนหรือเป็นแผลเปื่อย เนื่องจากความเจ็บปวดเป็นตัวบ่งชี้ในการรักษา OLP การหายจากความเจ็บปวดจึงเป็นผลลัพธ์หลักสำหรับการทบทวนนี้ การตรวจทานนี้เป็นฉบับปรับปรุงล่าสุดที่เผยแพร่ในปี 2011 แต่เน้นที่หลักฐานสำหรับการรักษาคอร์ติโคสเตียรอยด์เท่านั้น การทบทวนครั้งที่ 2 โดยพิจารณาถึงการรักษาที่ไม่ใช้คอร์ติโคสเตียรอยด์กำลังอยู่ในช่วงดำเนินการ

วัตถุประสงค์: 

เพื่อประเมินผลและความปลอดภัยของคอร์ติโคสเตียรอยด์ในสูตรใด ๆ สำหรับการรักษาผู้ที่มีอาการไลเคนพลานัสในช่องปาก

วิธีการสืบค้น: 

ผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลของ Cochrane Oral Health ได้ค้นหาฐานข้อมูลต่อไปนี้จนถึงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2019: Cochrane Oral Health's Trials Register, CENTRAL (2019, Issue 1), MEDLINE Ovid และ Embase Ovid ได้ทำการสืบค้นใน ClinicalTrials.gov และ the World Health Organisation International Clinical Trials Registry Platform เพื่อค้นหาการทดลองที่กำลังดำเนินอยู่ ไม่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับภาษาหรือวันที่เผยแพร่

เกณฑ์การคัดเลือก: 

เราพิจารณาการศึกษาแบบ randomised controlled clinical trials (RCTs) ของการรักษาโดยใช้คอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่หรือชนิดรับประทาน เปรียบเทียบกับยาหลอก ตัวยับยั้งแคลซินูริน คอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดอื่น ยาอื่นๆ ยาใช้เฉพาะที่หรือชนิดรับประทาน (หรือทั้งสองอย่าง) หรือคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดเดียวกันร่วมกับการรักษาเสริมอื่นๆ ร่วมด้วย

การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล: 

ผู้ทบทวน 3 คนสแกนชื่อและบทคัดย่อของรายงานทั้งหมดที่ระบุอย่างอิสระและประเมินความเสี่ยงของอคติโดยใช้เครื่องมือ Cochrane และดึงข้อมูลจากการศึกษาที่รวบรวมไว้ สำหรับผลลัพธ์แบบแบ่งสองกลุ่ม เราแสดงค่าประมาณผลลัพธ์ของวิธีการรักษาเป็นอัตราส่วนความเสี่ยง (RR) โดยมีช่วงความเชื่อมั่น 95% (CI) สำหรับผลลัพธ์ที่เป็นข้อมูลต่อเนื่อง เราใช้ความแตกต่าของค่าเฉลี่ย (MD) และ 95% Cl หน่วยวิเคราะห์ทางสถิติคือผู้เข้าร่วม เราทำการวิเคราะห์เมตต้าเฉพาะกับการศึกษาการเปรียบเทียบที่คล้ายคลึงกันซึ่งรายงานการวัดผลลัพธ์เดียวกัน เราประเมินความแน่นอนโดยรวมของหลักฐานโดยใช้ GRADE

ผลการวิจัย: 

เรารวบรวม 35 การศึกษา (ผู้เข้าร่วม 1474 คน) ในการทบทวนวรรณกรรมนี้ เราประเมิน 7 การศึกษา ที่มีความเสี่ยงของอคติต่ำโดยรวม มี 11 การศึกษาที่มีความเสี่ยงของการมีอคติที่ไม่ชัดเจน และการศึกษาที่เหลืออีก 17 การศึกษามีความเสี่ยงของการมีอคติสูง เรานำเสนอผลการศึกษาสำหรับผลลัพธ์หลักของเรา ซึ่งได้แก่ ความเจ็บปวดและอาการที่ดีขึ้นเมื่อสิ้นสุดการรักษา (ระหว่าง 1 สัปดาห์ ถึง 6 เดือน) และผลข้างเคียง หลักฐานที่มีอยู่จำกัดสำหรับการเปรียบเทียบระหว่างคอร์ติโคสเตียรอยด์คนละชนิดกัน และคอร์ติโคสเตียรอยด์กับการรักษาทางเลือกหรือการรักษาเสริมถูกนำเสนอในการทบทวนฉบับเต็ม

คอร์ติโคสเตียรอยด์กับยาหลอก

มี 3 การศึกษา ที่ประเมินประสิทธิผลและความปลอดภัยของคอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่ที่มีสารยึดติดเมื่อเปรียบเทียบกับยาหลอก เราสามารถรวม 2 การศึกษา ในการวิเคราะห์เมตต้า มี 1 การศึกษาที่ประเมินโคลเบตาซอล โพรพิโอเนตและฟลูซิโนไนด์อื่นๆ เราพบหลักฐานที่มีความเชื่อมั่นต่ำว่าอาการปวดอาจมีแนวโน้มที่จะแก้ไขได้เมื่อใช้คอร์ติโคสเตียรอยด์เฉพาะที่มากกว่ายาหลอก (RR 1.91, 95% CI 1.08 ถึง 3.36; 2 การศึกษา, ผู้เข้าร่วม 72 คน; I² = 0%) ผลลัพธ์สำหรับผลการรักษาทางคลินิกและผลข้างเคียงยังไม่เป็นที่แน่ชัด (ความละเอียดทางคลินิก: RR 6.00, 95% CI 0.76 ถึง 47.58; 2 การศึกษา, ผู้เข้าร่วม 72 คน; I² = 0%; หลักฐานที่มีความเชื่อมั่นต่ำมาก; ผลข้างเคียง RR 1.48, 95% 0.48 ถึง 4.56; 3 การศึกษา, ผู้เข้าร่วม 88 คน, I² = 0%, หลักฐานที่มีความเชื่อมั่นต่ำมาก)

คอร์ติโคสเตียรอยด์กับสารยับยั้งแคลซินูริน

มี 3 การศึกษาเปรียบเทียบยาโคลเบตาซอล โพรพิโอเนตเฉพาะที่กับยาทาโครลิมัสเฉพาะที่ เราพบหลักฐานที่มีความเชื่อมั่นต่ำมากเกี่ยวกับความแตกต่างใดๆ ระหว่างทาโครลิมัสและโคลเบตาซอลสำหรับผลลัพธ์ รักษาความเจ็บปวด (RR 0.45, 95% CI 0.24 ถึง 0.88; 2 การศึกษา, ผู้เข้าร่วม 100 คน; I² = 80%), ความละเอียดทางคลินิก (RR 0.61, 95% CI 0.38 ถึง 0.99; การศึกษา 2 เรื่อง ผู้เข้าร่วม 52 คน; I² = 95%) และผลข้างเคียง (RR 0.05, 95% CI 0.00 ถึง 0.83; 2 การศึกษา, ผู้เข้าร่วม 100 คน; หลักฐานที่มีความเชื่อมั่นต่ำมาก)

มี 1 การศึกษา (ผู้เข้าร่วม 39 คน) เปรียบเทียบ clobetasol เฉพาะที่กับ ciclosporin และให้หลักฐานที่มีความเชื่อมั่นต่ำมากเท่านั้นเกี่ยวกับอัตราการแก้ปัญหาทางคลินิกด้วย clobetasol (RR 3.16, 95% CI 1.00 ถึง 9.93), รักษาความเจ็บปวด (RR 2.11, 95% CI 0.76 ถึง 5.86) และผลข้างเคียง (RR 6.32, 95% CI 0.84 ถึง 47.69)

มี 2 การศึกษา (ผู้เข้าร่วม 60 คน) ที่เปรียบเทียบไตรแอมซิโนโลนและทาโครลิมัสพบหลักฐานที่ไม่แน่นอนเกี่ยวกับอัตราการแก้ปัญหาทางคลินิก (RR 0.86, 95% CI 0.55 ถึง 1.35; หลักฐานที่มีความเชื่อมั่นต่ำมาก) และอาจมีอัตราที่ต่ำกว่าของผลข้างเคียงใน กลุ่มไตรแอมซิโนโลน (RR 0.47, 95% CI 0.22 ถึง 0.99; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ) การศึกษาเหล่านี้ไม่ได้รายงานเกี่ยวกับการรักษาอาการเจ็บปวด

บันทึกการแปล: 

ผู้แปล แพทย์หญิงชุติมา ชุณหะวิจิตร วันที่ 20 มกราคม 2022

Tools
Information