ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

วิธีการสนับสนุนให้สตรีที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนเริ่มต้นเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และสามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้อย่างต่อเนื่อง

เรื่องนี้มีปัญหาอย่างไร

การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อสุขภาพของมารดาและลูกๆ ของเธอ ปัจจุบันมีคำแนะนำให้มารดาเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวอย่างต่อเนื่องจนเด็กอายุหกเดือน ทารกที่กินนมผสมมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ การเป็นโรคหอบหืด และการเป็นโรคที่มีความสัมพันธ์ต่อการเสียชีวิตอย่างรวดเร็วมากขึ้น มารดาที่ไม่ให้นมบุตรมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งในกลุ่มมะเร็งที่เป็นเฉพาะสตรีและการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เพิ่มมากขึ้น สตรีที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนมีแนวโน้มที่จะเริ่มต้นให้นมบุตรน้อยกว่าสตรีคนอื่นๆ และมีแนวโน้มที่จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในระยะเวลาที่สั้นกว่า โดยมีสาเหตุเนื่องมาจากปัจจัยทางด้านร่างกาย เช่น การมีหน้าอกขนาดใหญ่ ซึ่งทำให้ท่าทางที่จะให้นมบุตรอยู่ในท่าที่ยากลำบาก และเกิดจากความล่าช้าในการหลั่งน้ำนมหลังคลอด (ซึ่งปกติน้ำนมจะเริ่มมาในช่วง 72 ชั่วโมงหลังคลอด) สาเหตุเหล่านี้ลดความมั่นใจและความสามารถของมารดาต่อการที่จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ลง ปัจจัยทางวัฒนธรรมอาจมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของมารดาต่อการเริ่มต้นเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ตัวอย่างเช่น เห็นตัวอย่างวิธีการที่ครอบครัวของเธอและเพื่อนของเธอให้นมลูกของพวกเขา ความมั่นใจของแม่ต่อการบรรลุเป้าหมายในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และความคิดเห็นต่อสรีระร่างกายของตัวเอง

ทำไมเรื่องนี้จึงมีความสำคัญ

สตรีที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วนมักจะเจอกับประสบการณ์ที่ยากลำบากในการให้นมบุตร แต่ก็สามารถผ่านพ้นความท้าทายนั้นมาได้ด้วยการได้รับแรงสนับสนุน เราต้องการที่จะค้นหาวิธีการสนับสนุนที่ดีที่สุดทั้งก่อนและหลังคลอด วิธีการสนับสนุน ได้แก่ การให้ความรู้ การได้รับการสนับสนนุจากสังคม และวิธีการสนับสนุนทางกายภาพ เช่น การบีบน้ำนมด้วยมือ

เราพบข้อมูลเชิงประจักษ์อะไรบ้าง

เราทำการสืบค้นหลักฐานเชิงประจักษ์จนถึงเดือนมกราคมปี ค.ศ. 2019 พบงานวิจัยเชิงทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มเปรียบเทียบจำนวนเจ็ดงานวิจัย รวมมีในการศึกษาทั้งหมด 831 คน (ตั้งแต่ 36 ถึง 226 คน) เป็นการศึกษาในประเทศที่มีรายได้สูง (สหรัฐอเมริกา, เดนมาร์ก, ออสเตรเลีย) ทำการศึกษาในช่วงปี ค.ศ. 2006 ถึง 2015 งานวิจัยจำนวนสามเรื่อง คัดมารดาเข้าการศึกษาเฉพาะคนที่เป็นโรคอ้วนก่อนที่จะตั้งครรภ์เท่านั้น และอีกสี่งานวิจัย คัดทั้งมารดาที่มีภาวะน้ำหนักเกินและมารดาที่เป็นโรคอ้วนเข้าการศึกษา

งานวิจัยเหล่านี้เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างวิธีการสนับสนุนหลากหลายชนิดกับการให้การดูแลตามปกติ จึงมีข้อจำกัดเกี่ยวกับจำนวนงานวิจัยในแต่ละวิธีการสนับสนุน และมีความแตกต่างในด้านความมากน้อยในการให้การสนับสนุนในกลุ่มที่ได้รับวิธีการสนับสนุนและกลุ่มที่ได้รับการดูแลตามปกติ

มีหนึ่งการศึกษา (มารดา 39 คน) ใช้วิธีการสนับสนุนทางกายภาพด้วยการใช้เครื่องปั๊มนมแบบอัตโนมัติเปรียบเทียบการได้รับการดูแลตามปกติ (ไม่ได้ใช้เครื่องปั๊มนม) เป็นหลักฐานที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ หมายความว่า ยังเป็นที่ไม่ชัดเจนว่าการสนับสนุนทางกายภาพช่วยเพิ่มการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวในช่วงเวลาที่สี่ถึงหกสัปดาห์ได้ หรือ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ร่วมกับวิธีอื่นๆ ในช่วงเวลาสี่ถึงหกสัปดาห์ การทดลองไม่ได้รายงานผลลัพธ์ที่สำคัญอื่นๆ ที่น่าสนใจ: การไม่เริ่มต้นให้นมแม่ และการให้กินนมแม่อย่างเดียว หรือ การให้กินนมแม่ร่วมกับวิธีอื่นๆ ในช่วงเวลาหลังคลอดแล้วหกเดือน

งานวิจัยจำนวนหกเรื่อง (มารดา 792 คน) ใช้วิธีการสนับสนุนหลายวิธีร่วมกัน (เช่น การให้ความรู้และการสนับสนุนทางสังคมผ่านทางโทรศัพท์หรือการพูดคุยแบบเผชิญหน้าตัวต่อตัว) เปรียบเทียบกับการดูแลตามปกติ งานวิจัยหนึ่งเรื่อง (มารดา 174 คน) ไม่ได้รายงานผลลัพธ์หลักที่เราสนใจ งานวิจัยจำนวนหนึ่งเรื่องให้การสนับสนุนทางกายภาพผ่านการใช้เครื่องปั๊มน้ำนมและเป้อุ้มเด็ก (baby sling) และให้ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ แก่ผู้เข้าร่วมการศึกษาในการที่ลงพื้นที่ศึกษาแต่ละครั้ง วิธีการสนับสนุนต่างๆ ในการทดลองเหล่านี้ได้รับจากผู้เชี่ยวชาญ (จำนวนสี่งานวิจัย) หรือจากผู้ที่มีความรู้ (จำนวนสองงานวิจัย) เป็นการศึกษาแบบเป็นกลุ่ม (จำนวนหนึ่งงานวิจัย) หรือเป็นแบบรายบุคคล (จำนวนห้างานวิจัย)

สำหรับสตรีที่ได้รับวิธีการสนับสนุนที่มีการสนับสนุนหลายวิธี (รวมถึงการสนับสนุนทางสังคม, การศึกษาหรือทางกายภาพ) กับการดูแลตามปกติ เราประเมินหลักฐานที่ไดว่า้ยังคงไม่ชัดเจนในเรื่องของผลกระทบของวิธีการสนับสนุน เนื่องจากเราพบว่าหลักฐานที่พบนี้มีความน่าเชื่อถือในระดับต่ำในทุกผลลัพธ์หลักที่สำคัญสำหรับการทบทวนวรรณกรรมนี้: เช่น อัตราการไม่เริ่มต้นในการให้นมบุตร; การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวในช่วงเวลาที่สี่ถึงหกสัปดาห์ได้ หรือ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ร่วมกับวิธีอื่นๆ ในช่วงเวลาสี่ถึงหกสัปดาห์; และการให้กินนมแม่อย่างเดียว หรือ การให้กินนมแม่ร่วมกับวิธีอื่นๆ ในช่วงเวลาหลังคลอดแล้วหกเดือน

หลักฐานนี้หมายความว่าอย่างไร

ประสิทธิภาพของวิธีการสำหรับการสนับสนุนมารดาที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วนที่จะเริ่มต้นและยังคงให้นมบุตรยังคงไม่ชัดเจน วิธีการที่ใช้สนับสนุนการให้นมแม่ในการทดลองต่างๆ มีความแตกต่างกันในเรื่องคุณภาพและมีจำนวนผู้เข้าร่วมการศึกษาน้อย ไม่มีการทดลองที่เปรียบเทียบการสนับสนุนรูปแบบหนึ่งกับรูปแบบอื่นๆ

เราต้องการการทดลองที่มีคุณภาพสูงในการประเมินว่าการสนับสนุนทางสังคม, การให้ความรู้, การสนับสนุนทางกายภาพ, หรือใช้วิธีการสนับสนุนหลายๆ วิธีร่วมกันสามารถช่วยให้มารดาที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วนเริ่มต้นเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และสามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้อย่างต่อเนื่อง วิธีการสนับสนุนต้องได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับมารดากลุ่มนี้และต้องได้รับการฝึกฝนจากผู้ที่มีความเข้าใจความท้าทายของมารดากลุ่มนี้ โดยต้องช่วยแก้ไขปัญหาเมื่อเธอต้องเผชิญปัญหาและช่วยให้เธอสามารถประคับประครองการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้

บทนำ

การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวเหมาะสำหรับทารกทุกคนจนถึงอายุหกเดือน เนื่องจากมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมายทั้งต่อมารดาและเด็กทารก

มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ามารดาที่มีน้ำหนักตัวเกิน (ค่า BMI 25.0 ถึง 29.9 kg/m²) หรือ การเป็นโรคอ้วน (ค่า BMI ≥ 30.0 kg/m²) มีแนวโน้มที่จะเริ่มต้นให้นมบุตรน้อยกว่าสตรีคนอื่นๆ และมีแนวโน้มที่จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในระยะเวลาที่สั้นกว่า ปัจจุบันพบว่าความชุกของคนที่มีภาวะน้ำหนักเกินและเป็นโรคอ้วนมีการเพิ่มขึ้นทั่วโลก รวมถึงการรับรู้ถึงประโยชน์ของการให้นมบุตรโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการลดความเสี่ยงในระยะยาวของการเป็นโรคอ้วนและการเป็นโรคเบาหวานสำหรับทารก, การสร้างวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการสนับสนุนและส่งเสริมให้นมบุตรในมารดาที่มีน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนเป็นความสำคัญในการบรรลุเป้าหมายของชุมชนที่มีสุขภาพดี

วัตถุประสงค์

เพื่อประเมินประสิทธิภาพของวิธีการเพื่อสนับสนุนการเริ่มต้นเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และส่งเสริมให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้อย่างต่อเนื่องในมารดาที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน

วิธีการสืบค้น

เราได้ทำการสืบค้นงานวิจัยจากฐานข้อมูล Cochrane Pregnancy and Childbirth Group's Trials Register, ClinicalTrials.gov, the WHO International Clinical Trials Registry Platform (ICTRP) และรายการเอกสารอ้างอิงของงานวิจัยที่สืบค้นได้ จนถึงวันที่ 23 มกราคม ค.ศ. 2019

เกณฑ์การคัดเลือก

การศึกษาเชิงทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มเปรียบเทียบ (RCTs) และการศึกษาแบบกึ่งการทดลอง (quasi-RCTs) ที่เปรียบเทียบวิธีการเพื่อสนับสนุนการเริ่มต้นเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และส่งเสริมให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้อย่างต่อเนื่องในมารดาที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน วิธีการสนับสนุนนี้รวมถึงการสนับสนุนทางสังคม, การให้ความรู้, การสนับสนุนทางกายภาพ, หรือเป็นการผสมผสานของวิธีการสนับสนุนหลายๆ วิธี วิธีการสนับสนุนนี้ต้องถูกเปรียบเทียบกับวิธีการอื่นๆ หรือเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม

การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล

เราดำเนินการประเมินงานวิจัยทุกเรื่องที่สืบค้นได้จากการสืบค้นโดยละเอียด นักวิจัยสองคนดำเนินการคัดลอกข้อมูลจากการศึกษาที่คัดเข้ามาและประเมินความเสี่ยงของการเกิดอคติ เราได้แก้ไขความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันผ่านการอภิปรายกับนักวิจัยคนที่สาม เราได้ประเมินคุณภาพของหลักฐานที่ได้โดยวิธีการของเกรด (GRADE)

ผลการวิจัย

เราพบว่าไม่มีการทดลองที่เปรียบเทียบการสนับสนุนที่ใช้รูปแบบการสนับสนุนเพียงรูปแบบเดียวเปรียบเทียบกับรูปแบบอื่นๆ เราคัดงานวิจัยที่ผ่านเกณฑ์ทั้งหมดเจ็ดงานวิจัย (หนึ่งในนี้เป็นงานวิจัยเชิงทดลองแบบสุ่มที่ศึกษาแบบแบ่งกลุ่ม) ศึกษาในมารดาทั้งหมด 831 คน จำนวนของมารดาในแต่ละการศึกษามีจำนวนตั้งแต่ 36 ถึง 226 คน เป็นการศึกษาในประเทศที่มีรายได้สูง ได้แก่ สหรัฐอเมริกา 5 งานวิจัย เดนมาร์ก 1 งานวิจัย และออสเตรเลีย 1 งานวิจัย ทำการศึกษาในช่วงปี ค.ศ. 2006 ถึง 2015 งานวิจัยจำนวนสามเรื่อง คัดมารดาเข้าการศึกษาเฉพาะคนที่เป็นโรคอ้วนก่อนที่จะตั้งครรภ์เท่านั้น และอีกสี่งานวิจัย คัดทั้งมารดาที่มีภาวะน้ำหนักเกินและมารดาที่เป็นโรคอ้วนเข้าการศึกษา เราประเมินความเสี่ยงในการเกิดอคติแก่งานวิจัยที่คัดเข้าโดยพบว่า มีการทดลองเพียงเรื่องเดียวที่มีความเสี่ยงในการเกิดอคติในระดับต่ำในอคติด้านการสร้างลำดับการสุ่ม การปกปิดลำดับการสุ่มและอคติจากการขาดหายไปของกลุ่มตัวอย่าง

การสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมด้วยวิธีทางกายภาพ (การใช้เครื่องปั๊มน้ำนมแบบปั๊มเองหรือแบบปั๊มอัตโนมัติ) เปรียบเทียบกับการดูแลตามปกติ (ไม่ใช่เครื่องปั๊มน้ำนม)

หลักฐานที่พบมีความน่าเชื่อถือต่ำมาก มีงานวิจัยในเรื่องนี้เพียงหนึ่งงานวิจัย ซึ่งเป็นการศึกษาเชิงทดลองขนาดเล็ก (ศึกษาในมารดา 39 คน) ให้การสนับสนุนด้วยวิธีการสนับสนุนทางกายภาพ (การใช้เครื่องปั๊มน้ำนมแบบปั๊มเองหรือแบบปั๊มอัตโนมัต) เปรียบเทียบกับการดูแลตามปกติ (ไม่ได้ใช้เครื่องปั๊มน้ำนม) พบว่ามีความไม่ชัดเจนในเรื่องผลต่อการให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวจนถึงระยะหลังคลอดที่สัปดาห์ที่สี่ถึงหก (อัตราส่วนความเสี่ยง (RR) 0.55, 95% ช่วงความเชื่อมั่น (CI) 0.20 ถึง 1.51) การให้กินนมแม่ร่วมกับวิธีอื่นๆ ในช่วงเวลาหลังคลอดแล้วสี่ถึงหกสัปดาห์ (RR 0.65, 95% CI 0.41 ถึง 1.03) การทดลองไม่ได้รายงานผลลัพธ์ที่สำคัญอื่นๆ ที่น่าสนใจ: การไม่เริ่มต้นให้นมแม่ และการให้กินนมแม่อย่างเดียว หรือ การให้กินนมแม่ร่วมกับวิธีอื่นๆ ในช่วงเวลาหลังคลอดแล้วหกเดือน

การสนับสนุนให้นมบุตรหลายวิธีเปรียบเทียบกับการดูแลตามปกติ

งานวิจัยจำนวนหกเรื่อง (มารดา 792 คน) ใช้วิธีการสนับสนุนหลายวิธีร่วมกัน (เช่น การให้ความรู้และการสนับสนุนทางสังคมผ่านทางโทรศัพท์หรือการพูดคุยแบบเผชิญหน้าตัวต่อตัว) เปรียบเทียบกับการดูแลตามปกติ งานวิจัยจำนวนหนึ่งเรื่องให้การสนับสนุนทางกายภาพผ่านการใช้เครื่องปั๊มน้ำนมและเป้อุ้มเด็ก (baby sling) และให้ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ แก่ผู้เข้าร่วมการศึกษาในการที่ลงพื้นที่ศึกษาแต่ละครั้ง การได้รับวิธีการสนับสนุนในการทดลอง มารดาได้รับจากผู้เชี่ยวชาญ (งานวิจัยจำนวนสี่เรื่อง) หรือจากผู้ที่มีความรู้ (งานวิจัยจำนวนสองเรื่อง) เป็นการศึกษาแบบเป็นกลุ่ม (จำนวนหนึ่งงานวิจัย) หรือเป็นแบบรายบุคคล (จำนวนห้างานวิจัย) งานวิจัยหนึ่งเรื่อง (มารดา 174 คน) ไม่ได้รายงานผลลัพธ์หลักที่เราสนใจ

เราไม่ชัดเจนเกี่ยวกับผลของสิ่งแทรกแซง เนื่องจากเราประเมินว่าหลักฐานที่ได้ยังคงไม่ชัดเจนในเรื่องของผลกระทบของวิธีการสนับสนุน เนื่องจากเราพบว่าหลักฐานที่พบนี้มีความน่าเชื่อถือในระดับต่ำในทุกผลลัพธ์หลักที่สำคัญสำหรับการทบทวนวรรณกรรมนี้: เช่น อัตราการไม่เริ่มต้นในการให้นมบุตร (average RR 1.03, 95% CI 0.07 ถึง 16.11; 3 การทดลอง, สตรี 380 คน); การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวในช่วงเวลาที่สี่ถึงหกสัปดา (average RR 1.21, 95% CI 0.83 ถึง 1.77; 4 การทดลอง, สตรี 445 คน) หรือ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ร่วมกับวิธีอื่นๆ ในช่วงเวลาสี่ถึงหกสัปดาห์ (average RR 1.04, 95% CI 0.57 ถึง 1.89; 2 การทดลอง, สตรี 103 คน); และการให้กินนมแม่อย่างเดียวในช่วงเวลาหลังคลอดแล้วหกเดือน (RR 7.23, 95% CI 0.38 ถึง 137.08; 1 การทอดลอง, สตรี 120 คน) หรือการให้กินนมแม่ร่วมกับวิธีอื่นๆ ในช่วงเวลาหลังคลอดแล้วหก เดือน (average RR 1.42, 95% CI 1.08 ถึง 1.87; 2 การทดลอง, สตรี 223 คน)

งานวิจัยที่ถูกคัดเข้ามาได้นำเสนอผลการเปรียบเทียบผลลัพธ์รองบางตัวที่การทบทวนวรรณกรรมนี้ตั้งเป้าหมายไว้ แต่ระดับความน่าเชื่อถือของหลักฐานดังกล่าวอยู่ในระดับต่ำมาก นั่นหมายความว่าเราไม่มั่นใจเกี่ยวกับประสิทธิภาพของวิธีการสนับสนุนในผลลัพธ์เหล่านั้น

ข้อสรุปของผู้วิจัย

มีหลักฐานไม่เพียงพอในการประเมินประสิทธิภาพของวิธีการสนับสนุนทางกายภาพหรือการให้วิธีการสนับสนุนหลายวิธีเข้าด้วยกัน (การสนับสนุนด้านสังคม, การให้ความรู้ หรือทางกายภาพ) สำหรับการเพื่อสนับสนุนการเริ่มต้นเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และส่งเสริมให้เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้อย่างต่อเนื่องในมารดาที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน เราพบว่าไม่มงานวิจัยเชิงทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มเปรียบเทียบ (RCTs) ที่เปรียบเทียบการสนับสนุนประเภทหนึ่งไปยังการสนับสนุนชนิดอื่น การประเมิน GRADE ทั้งหมดพบว่าหลักฐานมีความน่าเชื่อถือในระดับต่ำมาก หลักฐานดังกล่าวถูกลดระดับความน่าเชื่อถือจากข้อจำกัดในการออกแบบการทดลอง (เช่น ความเสี่ยงของการเกิดอคติจากการขาดหายไปของกลุ่มตัวอย่าง) ผลการศึกษาที่ยังไม่ชัดเจน และความไม่สอดคล้องของผลการศึกษาระหว่างงานวิจัย งานวิจัยที่พบ ส่วนมากมีจำนวนขนาดตัวอย่างค่อนข้างน้อย และพบว่าอาจเกิดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากความแตกต่างของตัวแปรแทรกซ้อนระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม

งานวิจัยในอนาคตที่ได้รับการออกแบบวิธีการวิจัยที่ดีเป็นสิ่งจำเป็นในการตอบคำถามเกี่ยวกับผลการสนับสนุนทางสังคม, การให้ความรู้, การสนับสนุนทางกายภาพ รวมถึงการใช้วิธีการสนับสนุนหลายๆ วิธีร่วมกัน ในการช่วยให้มารดาที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วนเริ่มต้นเลี้ยงลูกด้วยนมแม่และสามารถเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้อย่างต่อเนื่อง เราต้องการงานวิจัยเชิงทดลองที่ศึกษาผลวิธีการสนับสนุนที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับมารดาที่มีภาวะน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน และต้องได้รับการฝึกฝนจากผู้ที่มีความเข้าใจความท้าทายของมารดากลุ่มนี้ โดยต้องช่วยแก้ไขปัญหาเมื่อเธอต้องเผชิญปัญหาและช่วยให้เธอสามารถประคับประครองการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ได้ การศึกษาในอนาคตควรให้ความสนใจเป็นพิเศษต่อการประเมินผลลัพธ์ที่เกิดในช่วงระหว่างการตั้งครรภ์ที่มีจุดประสงค์เพื่อปรับปรุงช่วยให้lสตรีตั้งครรภ์ที่เริ่มมีค่า BMI ที่เพิ่มขึ้นสามารถเริ่มต้นเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และไม่มุ่งเน้นไปที่การคัดเฉพาะสตรีที่มีความตั้งใจเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เข้ามาในการศึกษา งานวิจัยในปัจจุบันส่วนใหญ่แล้วดำเนินการในประเทศสหรัฐอเมริกา งานวิจัยในประเทศอื่นๆ และทำในพื้นที่ที่มีความหลากหลายเป็นสิ่งที่ยังคงมีความจำเป็น การทดลองในอนาคตต้องพิจารณาหลักทฤษฎีของการให้สิ่งสนับสนุนโดยใช้กรอบแนวคิดทฤษฎีที่กำหนดขึ้นเพื่อให้ผู้อื่นสามารถจำลองแบบได้และเพื่อกำหนดองค์ประกอบของการแทรกแซงที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

บันทึกการแปล

แปลโดย อ.ศิวานนท์ รัตนะกนกชัย สาขาวิชาวิทยาการระบาดและชีวสถิติ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น แปลเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2019

Citation
Fair FJ, Ford GL, Soltani H. Interventions for supporting the initiation and continuation of breastfeeding among women who are overweight or obese. Cochrane Database of Systematic Reviews 2019, Issue 9. Art. No.: CD012099. DOI: 10.1002/14651858.CD012099.pub2.