การเพิ่ม Omega-3 fatty acid ในระหว่างการตั้งครรภ์

เรื่องนี้มีปัญหาอย่างไร

การรับประทาน Omega-3 fatty acid ในระหว่างการตั้งครรภ์ ทั้งเป็นอาหารเสริมหรือเติมในอาหาร เช่นปลาบางชนิดจะทำให้สุขภาพของมารดาและทารกดีขึ้นหรือไม่ นี่คือการปรับปรุงของรีวิวที่ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2006

ทำไมเรื่องนี้จึงมีความสำคัญ

การคลอดก่อนกำหนด (ทารกคลอดก่อนตั้งครรภ์ครบ 37 สัปดาห์(อายุครรภ์)) เป็นสาเหตุสำคัญของการพิการและการตายในช่วงห้าปีแรกของชีวิต ปลาและน้ำมันปลามี omega-3 LCPUFA (โดยเฉพาะ docosahexaenoic acid (DHA) and eicosapentaenoic acid (EPA)) และมีความสัมพันธ์กับการตั้งครรภ์นานขึ้น ดังนั้นจึงมีการแนะนำว่าการเพิ่ม omega-3 LCPUFAs ในระหว่างตั้งครรภ์อาจช่วยลดจำนวนเด็กคลอดก่อนครบกำหนดและทำให้ผลต่อเด็กและแม่ดีขึ้น อย่างไรก็ตามสตรีตั้งครรภ์จำนวนมากไม่ได้รับประทานปลาบ่อย การส่งเสริมให้สตรีตั้งครรภ์รับประทานปลาที่มีไขมันมาก (ซึ่งโดยทั่วไปมีสารพิษในระดับต่ำ) หรือใช้ omega-3 LCPUFA เสริมอาจทำให้สุขภาพของเด็กและมารดาดีขึ้น นี่คือการปรับปรุงของรีวิวที่ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2006

เราพบข้อมูลเชิงประจักษ์อะไรบ้าง

เราสืบค้นหลักฐานเมื่อเดือนสิงหาคม 2018 พบการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มเปรียบเทียบ (RCT; ซึงเป็นการวิจัยที่ให้ผลที่เชื่อถือได้สูงสุด) 70 เรื่อง (รวมสตรี 19,927 คน) การทดลองเกือบทั้งหมดประเมินกลุ่มของสตรีที่ได้รับ omega-3 LCPUFA และเปรียบเทียบกับกลุ่มของสตรีที่ได้รับสิ่งที่ดูเหมือน omega-3 LCPUFA แต่ไม่มี omega-3 LCPUFA (ยาหลอก) หรือไม่ได้รับ omega-3 การทดลองเกือบทั้งหมดทำในประเทศที่มีรายได้ปานกลางระดับสูงถึงสูง บางการศึกษารวบรวมนำเข้าสตรีที่มีความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนด คุณภาพของหลักฐานของการศึกษาที่รวบรวมนำเข้ามีตั้งแต่สูงถึงต่ำมาก ซึ่งมีผลต่อความน่าเชื่อถือของสิ่งที่พบสำหรับตัวชี้วัดต่างๆ

เราพบว่าอุบัติการณ์ของการคลอดก่อนกำหนด (ก่อน 37 สัปดาห์) และคลอดก่อนกำหนดมาก (ก่อน 34 สัปดาห์) ในสตรีที่ได้รับ omega-3 LCPUFA ต่ำกว่าเมื่อเปรียบเทียบกลุ่มที่ไม่ได้รับ Omega-3 มีเด็กที่น้ำหนักแรกเกิดน้อยน้อยกว่าด้วย อย่างไรก็ตาม omega-3 LCPUFA อาจจะเพิ่มอุบัติการณ์ของการตั้งครรภ์เกิน 42 สัปดาห์ ถึงแม้ว่าจะไม่พบความแตกต่างในการชักนำให้เจ็บครรภ์คลอดเนื่องจากการตั้งครรภ์เกินกำหนด ความเสี่ยงที่ทารกจะตายหรือเจ็บป่วยมากและต้องเข้า NICU ในกลุ่มที่ได้รับ omega-3 LCPUFA อาจจะน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับ Omega-3 เราไม่พบความแตกต่างระหว่างกลุ่มสำหรับเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่ร้ายแรงต่อมารดาหรือความซึมเศร้าหลังคลอด มีความแตกต่างน้อยมากระหว่างกลุ่มที่ได้รับหรือไม่ได้รับ omega-3 LCPUFA ในเรื่องการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก

การทดลองสิบเอ็ดฉบับระบุว่าได้รับทุนจากภาคอุตสาหกรรม เมื่อเราตัดการทดลองเหล่านี้ในการประเมินตัวชี้วัดที่สำคัญ (เช่นการคลอดก่อนกำหนดและการคลอดก่อนกำหนดมาก) มีผลน้อยมากหรือไม่มีผลต่อผลการวิจัย

หมายความว่าอย่างไร

การเพิ่ม omega-3 LCPUFA ในระหว่างการตั้งครรภ์ทั้งการเสริมหรือจากอาหารอาจจะลดอุบัติการณ์การคลอดก่อนกำหนด (ก่อน 37 สัปดาห์และก่อน 34 สัปดาห์) และอาจมีโอกาสน้อยลงในการที่จะได้ทารกน้ำหนักแรกคลอดต่ำ สตรีที่ได้ omega-3 LCPUFA เสริมระหว่างตั้งครรภ์อาจมีโอกาสตั้งครรภ์นานกว่า กำลังมีการศึกษาที่กำลังดำเนินอยู่และผลจะมีการรวบรวมนำเข้าเมื่อมีการปรับปรุงการทบทวนวรรณกรรมต่อไป การศึกษาในอนาคตสามารถพิจารณาว่าผลลัพธ์อาจแตกต่างกันในกลุ่มประชากรสตรีที่ต่างกัน และอาจทดสอบวิธีการต่างๆที่จะเพิ่ม omega-3 LCPUFA ในระหว่างการตั้งครรภ์

ข้อสรุปของผู้วิจัย: 

การวิเคราะห์โดยรวมพบว่า preterm birth < 37 weeks และ early preterm birth < 34 weeks ลดลงในสตรีที่ได้รับ omega-3 LCPUFA เปรียบเทียบกับสตรีที่ไม่ได้รับ omega-3 มีความเป็นไปได้ที่จะมีการลดความเสี่ยงของ perinatal death และ neonatal care admission, LBW; และการเพิ่มขึ้นเล็กน้อยของ LGA ในสตรีที่ได้รับ omega-3 LCPUFA

สำหรับการประเมินคุณภาพโดย GRADE เราประเมิน perinatal outcomes ที่สำคัญว่ามีคุณภาพสูง (เช่น การคลอดก่อนกำหนด) หรือคุณภาพปานกลาง (เช่น perinatal death) สำหรับผลลัพธ์อื่น (ผลลัพธ์ต่อมารดา เด็ก/ผู้ใหญ่ และการบริการสุขภาพ) การประเมินโดย GRADE ได้ผลตั้งแต่ปานกลาง ถึงต่ำมาก โดยประมาณครึ่งหนึ่งอยู่ในระดับต่ำ เหตุผลในการลดระดับความน่าเชื่อถือในประเด็นต่างๆเกือบทั้งหมดเป็นเนื่องจากข้อจำกัดของรูปแบบการวิจัยและ imprecision

การเสริม Omega-3 LCPUFA ในระหว่างการตั้งครรภ์เป็นวิธีการที่ได้ผลสำหรับลดอุบัติการณ์การคลอดก่อนกำหนด ถึงแม้ว่าอาจจะเพิ่มอุบัติการณ์การตั้งครรภ์เกินกำหนด ในระยะนี้ไม่ต้องการการศึกษาเปรียบเทียบการให้ Omega-3 LCPUFA กับยาหลอก (เพื่อสรุปผลที่เกี่ยวกับการคลอดก่อนกำหนด) เพิ่มเติม มีการทดลองที่กำลังดำเนินการอยู่อีก 23 เรื่องเกี่ยวข้องกับสตรีมากกว่า 5000 คน จึงไม่ต้องการ RCTs ที่เปรียบเทียบ Omega-3 LCPUFA กับยาหลอกหรือไม่ได้รับการรักษา อย่างไรก็ตาม การทดลองที่เสร็จไปแล้วต้องการการติดตามผลต่อไปอีกเพื่อประเมินผลลัพธ์ระยะยาวต่อแม่และเด็ก เพื่อเพิ่มความเข้าใจ ช่องทางการเผาผลาญ (metabolic) การเจริญเติบโต การพัฒนาการของระบบประสาท และเพื่อสรุปว่าผลลัพธ์จะแตกต่างกันตามชนิดของ Omega-3 LCPUFA เวลาที่ให้ และขนาดที่ให้ หรือโดยลักษณะของสตรี

อ่านบทคัดย่อฉบับเต็ม
บทนำ: 

การเพิ่มการรับประทานอาหารที่มี omega-3 long-chain polyunsaturated fatty acids (LCPUFA) เช่นปลา ระหว่างตั้งครรภ์มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตั้งครรภ์ที่ยาวขึ้นและ perinatal outcomes ที่ดีขึ้น นี่คือการปรับปรุงของรีวิวที่ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2006

วัตถุประสงค์: 

เพื่อประเมินผลของ omega-3 LCPUFA ในรูปของการเสริมหรือเพิ่มในอาหารต่อผลลัพธ์ในมารดา ทารกปริกำเนิดและทารกแรกเกิด และผลลัพธ์ระยะยาวต่อแม่และเด็ก

วิธีการสืบค้น: 

ในการปรับปรุงนี้เราสืบค้น Cochrane Pregnancy and Childbirth’s Trials Register, ClinicalTrials.gov และ WHO International Clinical Trials Registry Platform (ICTRP) (16 สิงหาคม 2018) และเอกสารอ้างอิงของการศึกษาที่สืบค้นมาได้

เกณฑ์การคัดเลือก: 

การทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มเปรียบเทียบ (RCTs) เปรียบเทียบ omega-3 fatty acids (ในรูปแบบการเสริมหรือเป็นอาหาร เป็นวิธีการเดี่ยวหรือเป็นวิธีการร่วม) ระหว่างตั้งครรภ์ กับยาหลอก หรือไม่มี omega-3 และการศึกษาหรือส่วนหนึ่งของการศึกษาที่เปรียบเทียบขนาดหรือชนิดของ omega-3 LCPUFA โดยตรง การทดลองที่ตีพิมพ์ในรูปแบบบทคัดย่อก็สามารถนำมารวบรวมได้

การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล: 

ผู้ประพันธ์การทบทวนประเมินความเหมาะสมของการศึกษาโดยอิสระ คัดลอกข้อมูล ประเมินความเสี่ยงของการเกิดอคติของการทดลอง และประเมินคุณภาพของหลักฐานสำหรับผลลัพธ์ของการเกิด ทารก มารดา เด็ก/ผู้ใหญ่และการบริการสุขภาพที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้าโดยใช้แนวทางของ GRADE

ผลการวิจัย: 

ในการปรับปรุงครั้งนี้ เรารวบรวมนำเข้า RCTs 70 ฉบับ (รวมสตรี 19,927 คนที่มีความเสี่ยงต่ำ รวม หรือ สูงที่จะเกิดผลลัพธ์ของการตั้งครรภ์ที่ไม่ดี) ที่เปรียบเทียบการให้ omega-3 LCPUFA (แบบเสริมหรือเป็นอาหาร) กับยาหลอกหรือไม่ได้ omega-3 ความเสี่ยงของการเกิดอคติของการศึกษาโดยรวมเป็นระดับผสม ความเสี่ยงของการเกิด selection and performane bias เกือบทั้งหมดอยู่ในระดับต่ำ แต่ความเสี่ยงของการเกิด attrition bias ในบางการทดลองอยู่ในระดับสูง การทดลองส่วนใหญ่ทำในประเทศระดับ upper-middle หรือ high-income และการทดลองเกือบครึ่งรวบรวมสตรีที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดผลลัพธ์ที่ไม่ดีต่อแม่และการคลอด

การคลอดก่อนกำหนด <37 สัปดาห์ (13.4% versus 11.9%; risk ratio (RR) 0.89, 95% confidence interval (CI) 0.81 ถึง 0.97; 26 RCTs, มีผู้เข้าร่วม 10,304 คน; หลักฐานมีคุณภาพสูง) และ early preterm birth <34 weeks (4.6% versus 2.7%; RR 0.58, 95% CI 0.44 ถึง 0.77; RCTs 9 ฉบับ มีผู้เข้าร่วม 5204 คน; หลักฐานมีคุณภาพสูง) ต่ำกว่าในสตรีที่ได้รับ omega-3 การตั้งครรภ์ > 42 สัปดาห์ อาจจะเพิ่มขึ้นจาก 1.6% เป็น 2.6% ในสตรีที่ได้รับ omega-3 LCPUFA เปรียบเทียบกับที่ไม่ได้รับ omega-3 (RR 1.61 95% CI 1.11 ถึง 2.33; มีผู้เข้าร่วม 5141 คน; RCTs 6 ฉบับ; หลักฐานมีคุณภาพปานกลาง)

สำหรับทารกมีความเป็นไปได้ที่จะลดความเสี่ยของ perinatal death (RR 0.75, 95% CI 0.54 ถึง 1.03; 10 RCTs, มีผู้เข้าร่วม 7416 คน; หลักฐานมีคุณภาพปานกลาง: 62/3715 versus 83/3701 infants) และมีความเป็นไปได้ที่จะมีการน้อยลงของ neonatal care admissions (RR 0.92, 95% CI 0.83 ถึง 1.03; 9 RCTs, มีผู้เข้าร่วม 6920 คน; หลักฐานมีคุณภาพปานกลาง - 483/3475 infants versus 519/3445 infants) มีการลดความเสี่ยงของ low birthweight (LBW) babies (15.6% versus 14%; RR 0.90, 95% CI 0.82 ถึง 0.99; การทดลอง 15 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 8449 คน; high-quality evidence); แต่มีการเพิ่มlarge-for-gestational age (LGA) babies เล็กน้อย (RR 1.15, 95% CI 0.97 ถึง 1.36; RCTs 6 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 3722 คน; หลักฐานมีคุณภาพปานกลาง, สำหรับ omega-3 LCPUFA เปรียบเทียบกับการไม่ได้รับ omega-3 มีความแตกต่างเล็กน้อยหรือไม่มีความแตกต่างใน small-for-gestational age หรือ intrauterine growth restriction (RR 1.01, 95% CI 0.90 ถึง 1.13; RCTs 8 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 6907 คน; หลักฐานมีคุณภาพปานกลาง)

สำหรับผลลัพธ์ด้านมารดา มีหลักฐานไม่เพียงพอที่จะประเมินผลของ omega-3 ต่อ induction post-term (average RR 0.82, 95% CI 0.22 ถึง 2.98; การทดลอง 3 ฉบับ ผู้เข้าร่วม 2900 คน; หลักฐานมีคุณภาพต่ำ) ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงของมารดา (RR 1.04, 95% CI 0.40 ถึง 2.72; การทดลอง 2 ฉบับ ผู้เข้าร่วม 2690 คน; หลักฐานมีคุณภาพต่ำ) การเข้ารักษาใน ICU (RR 0.56, 95% CI 0.12 ถึง 2.63; การทดลอง 2 ฉบับ ผู้เข้าร่วม 2458 คน; หลักฐานมีคุณภาพต่ำ) หรือการซึมเศร้า หลังคลอด (average RR 0.99, 95% CI 0.56 ถึง 1.77; การทดลอง 2 ฉบับ ผู้เข้าร่วม 2431 คน; หลักฐานมีคุณภาพต่ำ) อายุครรภ์เฉลี่ยของสตรีที่ได้รับ omega-3 LCPUFA นานขึ้น(mean difference (MD) 1.67 วัน, 95% CI 0.95 ถึง 2.39; การทดลอง 41 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 12,517 คน; หลักฐานมีคุณภาพปานกลาง) และ pre-eclampsia อาจจะลดลงในกลุ่ม omega-3 LCPUFA (RR 0.84, 95% CI 0.69 ถึง 1.01; การทดลอง 20 ฉบับ ผู้เข้าร่วม 8306 คน; หลักฐานมีคุณภาพต่ำ)

สำหรับผลลัพธ์ในเด็กและผู้ใหญ่ มีความแตกต่างเล็กน้อยระหว่างกลุ่มที่ได้รับหรือไม่ได้รับการเสริม omega-3 LCPUFA ในเรื่อง กระบวนการรู้คิด (cognition) IQ ทัศนวิสัย (vision) ระบบประสาทและพัฒนาการเด็กด้านอื่นๆ และ ผลลัพธ์การเจริญเติบโต ภาษา และพฤติกรรม (หลักฐานโดยส่วนใหญ่มีคุณภาพต่ำถึงต่ำมาก) ผลของ omega-3 LCPUFA ต่อ body mass index เมื่ออายุ 19 ป ไม่แน่นอน (MD 0, 95% CI -0.83 ถึง 0.83; การทดลอง 1 ฉบับ ผู้เข้าร่วม 243 คน; หลักฐานมีคุรภาพต่ำมาก) ไม่มีข้อมูลผลต่อการเกิดเบาหวานในเด็กของผู้ร่วมการศึกษา

บันทึกการแปล: 

แปลโดย ศ.นพ.ภิเศก ลุมพิกานนท์ ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 23 มกราคม 2019

Tools
Information