ยาที่ยับยั้งการเจริญเติบโตของหลอดเลือดใหม่ (สารยับยั้งการสร้างเส้นเลือดใหม่) ช่วยผู้หญิงที่เป็นมะเร็งรังไข่ชนิดเยื่อบุผิวหรือไม่

เราต้องการค้นหาอะไร

เราต้องการทราบว่าการรักษาที่ป้องกันการสร้างเส้นเลือดใหม่ (การสร้างเส้นเลือดใหม่) ช่วยปรับปรุงผลลัพธ์สำหรับผู้หญิงที่เป็นมะเร็งรังไข่ชนิดเยื่อบุผิว (EOC) หรือไม่

มะเร็งรังไข่เป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 8 ในผู้หญิง (และผู้หญิงอื่นๆ) ทั่วโลก โดยมีอัตราการเสียชีวิตต่อปีที่ 4.2 ต่อผู้หญิง 100,000 คน EOC มีต้นกำเนิดมาจากชั้นผิวของรังไข่หรือท่อนำไข่ และคิดเป็น 90% ของมะเร็งรังไข่ทั้งหมด

การรักษา EOC เกี่ยวข้องกับการผ่าตัดเพื่อเอาก้อนมะเร็งออกและให้ยาเคมีบำบัดแบบแพลทินัม หรือ platinum-base chemotherapy (ยาที่ฆ่าเซลล์ที่เติบโตเร็ว) อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการตอบสนองเบื้องต้นที่ดี แต่ผู้ป่วยจำนวนมากที่เป็นโรคระยะลุกลามจำเป็นต้องได้รับการรักษาเพิ่มเติมในที่สุด

มะเร็งต้องการหลอดเลือดใหม่เพื่อจัดหาออกซิเจนและสารอาหารเพื่อการเจริญเติบโต การยับยั้งการสร้างเส้นเลือดใหม่อาจชะลอหรือหยุดการเจริญเติบโตของมะเร็ง การเกิดของหลอดเลือดสามารถถูกยับยั้งได้โดยการยับยั้งฮอร์โมนการเกิดหลอดเลือด (เรียกว่า VEGF) ด้วยโมโนโคลนอลแอนติบอดี (แอนติบอดีที่จดจำเป้าหมายเดียว) หรือโดยการรบกวนการตอบสนองของเซลล์ต่อ VEGF ที่จับกับตัวรับของมัน (VEGF-R) โดยการยับยั้งเอนไซม์ (ไทโรซีน ไคเนส (TK)) ที่เกี่ยวข้องกับ VEGF-R (ตัวยับยั้งไทโรซีนไคเนส (TKI))

เราทำอะไร

เรารวบรวมและวิเคราะห์การศึกษาที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในสตรีที่เป็น EOC การศึกษาเปรียบเทียบสารยับยั้งการกำเนิดหลอดเลือดที่มีหรือไม่มีเคมีบำบัดแบบดั้งเดิม หรือสารชีวภาพต่างๆ กับการรักษาด้วยยาหลอก (ยาหลอก) ไม่มีการรักษาหรือสารชีวภาพต่างๆ เราตรวจสอบว่ายาเหล่านี้ปรับปรุงระยะเวลาที่สตรีที่เป็น EOC มีชีวิตอยู่หลังการรักษาหรือไม่ (การรอดชีวิตโดยรวม (OS)) ยาชะลอการเจริญเติบโตของโรค (การรอดชีวิตโดยไม่มีการลุกลาม (PFS)) อะไรคืออันตราย (เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์) และดูการส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต EOC ตอบสนองได้ดีเพียงใดต่อการรักษาด้วยเคมีบำบัดที่ตามมาขึ้นอยู่กับการรักษาด้วยเคมีบำบัดครั้งก่อนและเวลาจากการรักษาด้วยเคมีบำบัดแบบแพลทินัมครั้งล่าสุด ดังนั้นเราจึงวิเคราะห์ผลลัพธ์โดยพิจารณาว่าผู้คนเพิ่งได้รับการวินิจฉัยหรือมีการกลับมาเป็นซ้ำของ EOC และการตอบสนองต่อแพลทินัม

เราพบอะไร

เราพบการศึกษา 50 ฉบับกับผู้หญิง 14,836 คน

ผลลัพธ์หลัก

EOC ที่ได้รับการวินิจฉัยใหม่

การรักษาด้วยโมโนโคลนอลแอนติบอดี (เรียกว่า bevacizumab หรือ Avastin) ที่ได้รับร่วมกับเคมีบำบัด และให้เป็นการรักษาต่อเนื่อง อาจมีผลเพียงเล็กน้อยต่อการรอดชีวิตหลังจากการวินิจฉัยครั้งแรกของ EOC หลักฐานสำหรับการชะลอความก้าวหน้านั้นไม่แน่นอนอย่างมาก การรักษาจะเพิ่มผลข้างเคียงที่รุนแรงและลดคุณภาพชีวิตลงเล็กน้อย

TKIs ที่ได้รับร่วมกับเคมีบำบัดและให้รักษาต่อเนื่อง อาจมีผลเพียงเล็กน้อยต่อการรอดชีวิตหลังจากการวินิจฉัยครั้งแรกของ EOC แต่อาจทำให้การลุกลามของโรคช้าลง การรักษาทำให้คุณภาพชีวิตลดลงเล็กน้อย และความเสี่ยงของผลข้างเคียงที่รุนแรงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างมากที่จะต้องเข้ารับการรักษาความดันโลหิตสูง (ความดันโลหิตสูง)

EOC ที่กลับมาเป็นซ้ำ(ไวต่อแพลทินัม; กำเริบมากกว่าหนึ่งปีหลังจากเคมีบำบัดแพลทินัมครั้งสุดท้าย)

สำหรับผู้หญิงที่เป็น EOC ที่กลับเป็นซ้ำใหม่ที่ไวต่อแพลทินัม การให้ bevacizumab ร่วมกับเคมีบำบัดและรักษาต่อเนื่องอาจส่งผลต่อการรอดชีวิตเพียงเล็กน้อย แต่อาจชะลอการลุกลาม อาจมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตเพียงเล็กน้อย แต่การรักษาจะเพิ่มความเสี่ยงเล็กน้อยต่อการเกิดผลข้างเคียงชนิดร้างแรง การศึกษาทั้งหมดพบว่าการรักษาเพิ่มอัตราความดันโลหิตสูง

ในสตรีกลุ่มเดียวกันนี้ TKIs ที่ได้รับร่วมกับเคมีบำบัดและยังคงให้เพื่อรักษาต่อเนื่องอาจมีผลต่อการรอดชีวิตหลังการกำเริบของโรคเพียงเล็กน้อย มีแนวโน้มที่จะชะลอการลุกลาม และอาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย เราไม่สามารถประเมินผลกระทบต่อผลข้างเคียงที่ร้ายแรงโดยรวมได้ แม้ว่าความดันโลหิตสูงแบบร้ายแรงจะพบได้บ่อยในกลุ่มที่ได้รับการรักษา

EOC ที่โรคกลับเป็นซ้ำใหม่ (ดื้อต่อแพลตินัม; กำเริบภายในหกเดือนของการให้เคมีบำบัดแพลทินัมครั้งสุดท้าย)

สำหรับผู้หญิงที่เป็น EOC ที่ดื้อต่อแพลทินัม bevacizumab ช่วยเพิ่มการรอดชีวิตและอาจส่งผลให้การลุกลามล่าช้ามาก อย่างไรก็ตาม การรักษาทำให้เกิดความเสี่ยงอย่างมากต่อโรคความดันโลหิตสูงและอาจเพิ่มความเสี่ยงของลำไส้ทะลุ มีการรายงานผลข้างเคียงที่รุนแรงอื่นๆ ที่ไม่สอดคล้องกัน เช่นเดียวกับผลลัพธ์ด้านคุณภาพชีวิต

การเพิ่ม TKIs ในเคมีบำบัดในกลุ่มนี้อาจไม่ส่งผลต่อการรอดชีวิต แต่อาจทำให้การลุกลามล่าช้า โดยมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญเล็กน้อยในคุณภาพชีวิต อย่างไรก็ตาม TKIs จะเพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียงที่รุนแรงเล็กน้อย ผลของการรักษาต่ออัตราของลำไส้ทะลุและความดันโลหิตสูงนั้นไม่แน่นอน โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการศึกษาขนาดเล็กและยา TKI ต่างๆชนิด ที่ใช้ในการศึกษาที่แตกต่างกัน

ข้อจำกัดของหลักฐานคืออะไร

นี่เป็นสาขาที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและหลักฐานอาจเปลี่ยนแปลงเมื่อมีการศึกษาเพิ่มเติมและการติดตามผลการศึกษาที่ยาวนานขึ้น

หลักฐานนี้เป็นปัจจุบันแค่ไหน

การตรวจสอบนี้ปรับปรุงการตรวจสอบก่อนหน้าของเราในปี 2011 และเป็นปัจจุบันจนถึงเดือนกันยายน 2022

ใจความสำคัญ

มะเร็งรังไข่ชนิดเยื่อบุผิวที่เพิ่งได้รับการวินิจฉัย (EOC)

ผลของการรักษาด้วยยาต้านการสร้างเส้นเลือดใหม่ด้วย bevacizumab และ TKI ในสตรีที่เพิ่งได้รับการวินิจฉัย EOC ยังไม่แน่นอน

การรักษาเหล่านี้อาจมีผลกระทบน้อยที่สุดต่อระยะเวลาที่ผู้หญิงจะอยู่รอดหรือการเกิดใหม่ของโรค (การลุกลาม) โดยมีคุณภาพชีวิตที่ลดลงและผลข้างเคียงที่รุนแรงเพิ่มขึ้น

platinum-sensitive EOC

Bevacizumab และ TKIs อาจชะลอการลุกลาม แต่อาจหรืออาจไม่ปรับปรุงอายุขัยของผู้หญิง

Platinum-resistant EOC

Bevacizumab อาจช่วยปรับปรุงอายุขัยของผู้หญิงและอาจส่งผลให้การลุกลามของโรคช้าลงมาก

TKIs อาจชะลอการลุกลามของโรค แต่อาจจะหรืออาจไม่ปรับปรุงอายุขัยของผู้หญิง

ดูเหมือนสารยับยั้งการสร้างเส้นเลือดใหม่จะมีบทบาทในการรักษา แต่ด้วยภาระการรักษาที่เพิ่มขึ้นและต้นทุนทางเศรษฐกิจของการรักษาแบบต่อเนื่องด้วยสารยับยั้งการสร้างเส้นเลือดใหม่ จึงควรพิจารณาผลประโยชน์และความเสี่ยงของการรักษาอย่างรอบคอบ

ข้อสรุปของผู้วิจัย: 

Bevacizumab มีแนวโน้มที่จะเพิ่มทั้ง OS และ PFS ในคนที่เป็น EOC ที่เกิดซ้ำที่ดื้อต่อแพลตินัม ในโรคกำเริบใหม่ที่ไวต่อแพลทินัม bevacizumab และ TKIs อาจเพิ่ม PFS แต่อาจจะเพิ่มหรือไม่เพิ่ม OS ผลลัพธ์สำหรับ TKI ใน EOC ที่กลับเป็นซ้ำที่ดื้อต่อแพลทินัมนั้นคล้ายคลึงกัน ผลกระทบต่อ OS หรือ PFS ใน EOC ที่ได้รับการวินิจฉัยใหม่นั้นมีความแน่นอนน้อยกว่า โดยมี QoL ลดลงและเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์เพิ่มขึ้น เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์โดยรวมและข้อมูล QoL มีการรายงานที่หลาหหลายมากกว่าข้อมูล PFS

ดูเหมือนสารยับยั้งการสร้างเส้นเลือดใหม่จะมีบทบาทในการรักษา แต่ด้วยภาระการรักษาเพิ่มเติมและต้นทุนทางเศรษฐกิจของการรักษาแบบต่อเนื่อง จึงควรพิจารณาผลประโยชน์และความเสี่ยงของการรักษาด้วยการยับยั้งการสร้างเส้นเลือดใหม่อย่างรอบคอบ

อ่านบทคัดย่อฉบับเต็ม
บทนำ: 

ผู้หญิงหลายคนและผู้หญิที่เป็นมะเร็งรังไข่ชนิดเยื่อบุผิว (EOC) เกิดการดื้อต่อยาเคมีบำบัดทั่วไป ยาที่ยับยั้งการสร้างเส้นเลือดใหม่ (การพัฒนาหลอดเลือดใหม่) ซึ่งจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของเนื้องอก ควบคุมการเจริญเติบโตของมะเร็งโดยการปฏิเสธเลือดที่ส่งไปยังก้อนเนื้องอก

วัตถุประสงค์: 

เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิผลและความเป็นพิษของสารยับยั้งการสร้างเส้นเลือดใหม่ในการรักษามะเร็งรังไข่ชนิดเยื่อบุผิว (EOC)

วิธีการสืบค้น: 

เราระบุการทดลองแบบสุ่มที่มีกลุ่มควบคุม (RCTs) โดยการค้นหา CENTRAL, MEDLINE และ Embase (ตั้งแต่ปี 1990 ถึง 30 กันยายน 2022) เราค้นหาทะเบียนการทดลองทางคลินิกและติดต่อผู้วิจัยของการทดลองที่เสร็จสมบูรณ์และที่กำลังดำเนินอยู่เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม

เกณฑ์การคัดเลือก: 

RCTs ที่เปรียบเทียบสารยับยั้งการกำเนิดหลอดเลือดกับเคมีบำบัดมาตรฐาน การรักษาต้านมะเร็งประเภทอื่น สารยับยั้งการกำเนิดหลอดเลือดอื่นๆที่มีหรือไม่มีการรักษาอื่น หรือยาหลอก/ไม่มีการรักษาในสถานพยาบาลในสตรีที่เป็น EOC

การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล: 

เราใช้ระเบียบวิธีการมาตรฐานที่ Cochrane กำหนดไว้ ผลลัพธ์ของเรา ได้แก่ การรอดชีวิตโดยรวม (OS) การอยู่รอดโดยปราศจากการลุกลามของโรค (PFS) คุณภาพชีวิต (QoL) เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ (ระดับ 3 ขึ้นไป) และความดันโลหิตสูง (ระดับ 2 ขึ้นไป)

ผลการวิจัย: 

เราพบการศึกษา 50 ฉบับ (ผู้เข้าร่วม 14,836 คน) เพื่อรวมเข้าในการทบทวนวรรณกรรมครั้งนี้ (รวมการศึกษา 5 ฉบับจากการทบทวนฉบับก่อนหน้า): 13 ฉบับเฉพาะในสตรีที่เพิ่งได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค EOC และ 37 ฉบับในสตรีที่เป็น EOC ซ้ำ (การศึกษา 9 ฉบับใน EOC ที่ไวต่อแพลทินัม 19 เรื่องใน EOC ที่ดื้อต่อแพลทินัม 9 ฉบับมีความไวของแพลทินัมแบบผสมหรือไม่ชัดเจน) ผลลัพธ์หลักแสดงไว้ด้านล่าง

EOC ที่ได้รับการวินิจฉัยใหม่
Bevacizumab ซึ่งเป็นโมโนโคลนอลแอนติบอดีที่จับกับ vascular endothelial growth factor (VEGF) ที่ได้รับร่วมกับเคมีบำบัดเป็นการรักษาต่อเนื่อง มีแนวโน้มที่จะให้ผลลัพธ์ในการรอดชีวิตโดยรวม (OS) ที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยเมื่อเทียบกับการรักษาด้วยเคมีบำบัดเพียงอย่างเดียว (อัตราส่วนอันตราย (HR) 0.97 ช่วงความเชื่อมั่น 95% (CI ) 0.88 ถึง 1.07; การศึกษา 2 ฉบับ ผู้เข้าร่วม 2776 คน หลักฐานมีความเชื่อมั่นปานกลาง) หลักฐานมีความไม่แน่นอนอย่างมากสำหรับ PFS (HR 0.82, 95% CI 0.64 ถึง 1.05; การศึกษา 2 ฉบับ ผู้เข้าร่วม 2746 คน หลักฐานมีความเชื่อมั่นต่ำมาก) แม้ว่าการใช้ร่วมกันจะส่งผลให้ คุณภาพชีวิตโดยรวมลดลงเล็กน้อย (ความแตกต่างของค่าเฉลี่ย (MD) -6.4 95% CI -8.86 ถึง -3.94; การศึกษา 1 ฉบับ ผู้เข้าร่วม 890 คน หลักฐานมีความเชื่อมั่นสูง) การใช้ร่วมกันนี้มีแนวโน้มที่จะเพิ่มเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ใด ๆ (ระดับ ≥ 3) (อัตราส่วนความเสี่ยง (RR) 1.16, 95% CI 1.07 ถึง 1.26; การศึกษา 1 ฉบับ ผู้เข้าร่วม 1485 คน หลักฐานมีความเชื่อมั่นปานกลาง) และอาจส่งผลให้ความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นอย่างมาก (ระดับ ≥ 2) (RR 4.27, 95% CI 3.25 ถึง 5.60; การศึกษา 2 ฉบับ ผู้เข้าร่วม 2707 คน หลักฐานมีความเชื่อมั่นต่ำ)

สารยับยั้งไทโรซีนไคเนส (TKIs) เพื่อสกัดกั้นตัวรับ VEGF (VEGF-R) ที่ให้ร่วมกับเคมีบำบัดและให้เป็นการรักษาต่อเนื่อง มีแนวโน้มว่าจะส่งผลเล็กน้อยหรือไม่มีความแตกต่างในการรอดชีวิตโดยรวม (HR 0.99, 95% CI 0.84 ถึง 1.17; การศึกษา 2 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 1451 คน; หลักฐานมีความเชื่อมั่นปานกลาง) และมีแนวโน้มที่จะเพิ่ม PFS เล็กน้อย (HR 0.88, 95% CI 0.77 ถึง 1.00; การศึกษา 2 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 2466 คน; หลักฐานมีความเชื่อมั่นปานกลาง) การใช้ร่วมกันน่าจะลด QoL เล็กน้อย (MD -1.86, 95% CI -3.46 ถึง -0.26; การศึกษา 1 ฉบับ ผู้เข้าร่วม 1340 คน หลักฐานมีความเชื่อมั่นปานกลาง) แต่เพิ่มเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ใดๆ (เกรด ≥ 3) เล็กน้อย (RR 1.31, 95% CI 1.11 ถึง 1.55; การศึกษา 1 ฉบับ ผู้เข้าร่วม 188 คน หลักฐานมีความเชื่อมั่นปานกลาง) และอาจส่งผลให้ความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นมาก (เกรด ≥ 3) (RR 6.49, 95% CI 2.02 ถึง 20.87; การศึกษา 1 ฉบับ ผู้เข้าร่วม 1352 คน หลักฐานมีความเชื่อมั่นต่ำ)

Recurrent platinum-sensitive EOC
หลักฐานที่มีความเชื่อมั่นปานกลางจากการศึกษา 3 ฉบับ (ที่มีผู้เข้าร่วม 1564 คน) บ่งชี้ว่า bevacizumab ร่วมกับเคมีบำบัดและให้เป็นการรักษาต่อเนื่อง มีแนวโน้มที่จะให้ผลใน OS แตกต่างกันเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย (HR 0.90, 95% CI 0.79 ถึง 1.02) แต่มีแนวโน้มที่จะปรับปรุง PFS (HR 0.56, 95% CI 0.50 ถึง 0.63) เมื่อเปรียบเทียบกับเคมีบำบัดเพียงอย่างเดียว กาใช้ร่วมกันอาจส่งผลให้เกิดความแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยใน QoL (MD 0.8, 95% CI -2.11 ถึง 3.71; การศึกษา 1 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 486 คน; หลักฐานความเชื่อมั่นต่ำ) แต่จะเพิ่มอัตราของเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ใดๆ (เกรด ≥ 3) เล็กน้อย (RR 1.11, 1.07 ถึง 1.16; การศึกษา 3 ฉบับ ผู้เข้าร่วม 1538 คน หลักฐานมีความเชื่อมั่นสูง) ความดันโลหิตสูง (ระดับ ≥ 3) พบได้บ่อยเมื่อในกลุ่มที่ใช้ bevacizumab (RR 5.82, 95% CI 3.84 ถึง 8.83; การศึกษา 3 ฉบับ ผู้เข้าร่วม 1538 คน)

TKI ร่วมกับเคมีบำบัดอาจส่งผลเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีความแตกต่างใน OS (HR 0.86, 95% CI 0.67 ถึง 1.11; การศึกษา 1 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 282 คน; หลักฐานที่มีความเชื่อมั่นต่ำ), มีแนวโน้มที่จะเพิ่ม PFS (HR 0.56, 95% CI 0.44 ถึง 0.72; การศึกษา 1 ฉบับ ผู้เข้าร่วม 282 คน หลักฐานมีความเชื่อมั่นปานกลาง) และอาจมีผลเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยต่อ QoL (MD 6.1, 95% CI -0.96 ถึง 13.16; การศึกษา 1 ฉบับ ผู้เข้าร่วม 146 คน หลักฐานมีความเชื่อมั่นต่ำ) ความดันโลหิตสูง (เกรด ≥ 3) พบได้บ่อยกับ TKIs (RR 3.32, 95% CI 1.21 ถึง 9.10)

Recurrent platinum-resistant EOC
Bevacizumab ร่วมกับเคมีบำบัดและให้ต่อเพื่อรักษาต่อเนื่องเพิ่ม OS (HR 0.73, 95% CI 0.61 ถึง 0.88; การศึกษา 5 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 778 คน; หลักฐานที่มีความเชื่อมั่นสูง) และน่าจะส่งผลให้ PFS เพิ่มขึ้นอย่างมาก (HR 0.49, 95% CI 0.42 ถึง 0.58 ; การศึกษา 5 ฉบับ ผู้เข้าร่วม 778 คน หลักฐานมีความเชื่อมั่นปานกลาง) การให้ร่วมกันอาจส่งผลให้ความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นมาก (เกรด ≥ 2) (RR 3.11, 95% CI 1.83 ถึง 5.27; การศึกษา 2 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 436 คน; หลักฐานมีความเชื่อมั่นต่ำ) อัตราการเกิดรูรั่วทางลำไส้/การทะลุ (ระดับ ≥ 2) อาจสูงขึ้นเล็กน้อยเมื่อใช้เบวาซิซูแมบ (RR 6.89, 95% CI 0.86 ถึง 55.09; การศึกษา 2 ฉบับ ผู้เข้าร่วม 436 คน)

หลักฐานจากการศึกษา 8 ฉบับบ่งชี้ว่า TKI ร่วมกับเคมีบำบัดมีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดความแตกต่างเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลยใน OS (HR 0.85, 95% CI 0.68 ถึง 1.08; ผู้เข้าร่วม 940 คน; หลักฐานมีความเชื่อมั่นปานกลาง) โดยมีหลักฐานมีความเชื่อมั่นต่ำว่าอาจเพิ่ม PFS (HR 0.70 , 95% CI 0.55 ถึง 0.89; ผู้เข้าร่วม 940 คน) และอาจส่งผลให้ QoL แตกต่างกันเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีนัยสำคัญ (MD อยู่ระหว่าง -0.19 ที่ 6 สัปดาห์ถึง -3.40 ที่ 4 เดือน) การใช้ร่วมกันนี้เพิ่มเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ใดๆ (เกรด ≥ 3) เล็กน้อย (RR 1.23, 95% CI 1.02 ถึง 1.49; การศึกษา 3 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 402 คน; หลักฐานมีความเชื่อมั่นสูง) ผลกระทบต่อการรั่ว/อัตราการทะลุของลำไส้ไม่แน่นอน (RR 2.74, 95% CI 0.77 ถึง 9.75; การศึกษา 5 ฉบับ, ผู้เข้าร่วม 557 คน; หลักฐานมีความเชื่อมั่นต่ำมาก)

บันทึกการแปล: 

แปลโดย พญ.วิลาสินี หน่อแก้ว โรงพยาบาลมะเร็งอุบลราชธานี Edit โดย ผกากรอง ลุมพิกานนท์ 4 ธันวาคม 2023

Tools
Information